“หม่อง ชิตตู่” พลิกสถานการณ์ส่งสารถึง “ภูมิธรรม” ประกาศร่วมมือกับไทยกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์-ค้ามนุษย์ในพื้นที่ดูแล พร้อมออกตระเวนช่วยเหยื่อได้กว่า 2 พันคน เตรียมส่งข้ามแดนให้ไทยรับช่วงต่อ ด้านนายกฯ ถกด่วนฝ่ายความมั่นคง ขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำงานหนัก ย้ำต้องเด็ดขาด มั่นใจมาตรการตัดน้ำมัน-ตัดไฟได้ผล จี้คณะกรรมการนโยบายด้านชายแดนขยายแผนการทำงานให้เวลา 1 เดือน รายงานผล ขณะที่ตำรวจสนธิกำลังหลายหน่วยงาน ทั้งจับกุม-ช่วยเหลือเหยื่อแก๊งคอลฯได้ต่อเนื่อง ล่าสุดช่วย 5 ชาวจีนขณะถูกย้ายจากพม่าไปเขมร พร้อมส่งตัว 10 จีนแก๊งต้ม “ซิงซิง” กลับประเทศ ส่วน จตช.ยืนยันจีนส่งรายชื่อ 3,700 คน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียวดี ให้ไทยแยกออกจากเหยื่อค้ามนุษย์แล้ว ด้าน “บิ๊กเต่า” ยันไม่กังวล คดี “ผู้การต๊ะ”อยู่ระหว่างรื้อคดีหาข้อมูลการที่ไทยเอาจริงกับการปราบมิจฉาชีพที่มาในรูปแบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีฐานที่ตั้งอยู่ในประเทศเมียนมา ริมชายแดนไทยใกล้กับ จ.ตาก และ จ.กาญจนบุรี มาตลอดสัปดาห์ ทำให้กลุ่มกองกำลังทหารกะเหรี่ยงที่ดูแลพื้นที่อย่างกลุ่ม DKBA ออกมาเคลื่อนไหวช่วยไทยปราบปราม และล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ก.พ. กลุ่มกองกำลังพิทักษ์ชายแดน รัฐกะเหรี่ยง หรือ BGF ที่มี พล.ต.หม่องชิตตู่ เป็นผู้นำ และถูกจับตาว่ามีส่วนพัวพันกับขบวนการค้ามนุษย์และธุรกิจสีเทาต่างๆ ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในเมืองเมียวดี ก็ออกมาประกาศช่วยไทยเต็มที่“หม่องชิตตู่” ประกาศร่วมมือไทยทั้งนี้ เมื่อช่วงเช้า ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ขณะนี้ตัวเมืองที่ต่างๆในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ย่าไถ่ ชเวโก๊กโก่ เมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นเมืองกาสิโน กินพื้นที่เป็นแนวยาวกว่า 16 กม.ใกล้กับแม่น้ำเมย ตรงข้ามกับ อ.แม่สอด และ อ.แม่ระมาด จ.ตาก มีความเคลื่อนไหวหลัง พล.ต.หม่องชิตตู่ ผู้นำ BGF ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา ถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรื่องความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ โดยมีเนื้อหา 2 ข้อหลักๆระบุว่า กองกำลังป้องกันชายแดน BGF รัฐกะเหรี่ยง จะดำเนินการจับกุม และปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์และแก๊งหลอกลวงกลุ่มคอลเซ็นเตอร์กับสแกมเมอร์ ที่กระทำการอย่างผิดกฎหมาย ในโครงการลงทุนในภูมิภาคพื้นที่เขตการปกครองของ BGF โดยยืนยันว่าจะอำนวยความสะดวกในการส่งเหยื่อการค้ามนุษย์และชาวต่างชาติกลับประเทศบ้านเกิดของพวกเขาอีกด้วย ซึ่งในการดำเนินการครั้งนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป จะมีการขนส่งชาวต่างชาติจำนวนมากผ่านสะพานมิตรภาพไทยเมียนมาแห่งที่ 2 จากพื้นที่เขตเมืองเมียวดี เพื่อดำรงไว้ถึงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลเมียนมาและรัฐบาลไทย ทั้งนี้ เพื่อให้ความร่วมมือในการปราบปรามการก่ออาชญากรรมผิดกฎหมายข้ามชาติ และการส่งตัวเหยื่อการค้ามนุษย์กลับประเทศให้มีความราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขอให้รัฐบาลไทยให้คำชี้แนะและให้ความช่วยเหลือตามความจำเป็น ในเวลาเดียวกันได้ออกหนังสือแถลงการณ์ถึงผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจราชมนู ในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา 5 อำเภอชายแดนจังหวัดตาก (แม่สอด ท่าสองยาง พบพระ อุ้มผาง แม่ระมาด) อีก 1 ฉบับ ในข้อความที่เหมือนกันด้วยเตรียมส่งกว่า 2 พันคนข้ามแดนผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ผู้นำ BGF นอกจากประกาศปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์แล้วยังได้ตั้งคณะทำงานพิเศษและชุดปราบปราม 3 ชุด เป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) นำกำลังทหารออกตรวจค้นตามบ้านเรือน อาคารสถานที่ต่างๆที่มีกลุ่มคนจีนเทาในเมืองชเวโก๊กโก่ ตลอดทั้งวัน ซึ่งเป็นการตรวจค้นว่ามีทำธุรกิจสแกมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ รวมถึงค้นหาชาวต่างชาติที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ เพื่อส่งกลับมาให้ประเทศไทยประสานประเทศต่างๆส่งกลับประเทศต้นทาง โดยตลอดวันทหารกองกำลัง BGF ขับรถไปตามถนนเมืองชเวโก๊กโก่ พร้อมอาวุธครบมือและเริ่มปิดล้อมอาคาร ตามตึกที่โครงการย่าไถ่ บ.ชเวโก๊กโก่ ภายในเมืองชเวโก๊กโก่ จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ตรงข้าม บ.วังแก้ว ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก โดยมีรายงานในช่วงบ่ายว่ากองกำลัง BGF มีการควบคุมตัวคนไว้ได้กว่า 2,000 คน กำลังตรวจสอบและทำบัญชีรายชื่อ เพื่อเตรียมทยอยส่งเหยื่อชาวต่างชาติเข้ามายังประเทศไทย อาจเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ.2568 เป็นต้นไปยังไม่ใช้ยาแรงตัดไฟกัมพูชาต่อมาที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าการตัดไฟฟ้า อินเตอร์เน็ต และงดส่งน้ำมันไปกัมพูชาว่า ยังไม่ไปถึงจุดนั้น ขอดำเนินมาตรการก่อนหน้านี้ไปก่อน หากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ย้ายฐานจากเมียนมาไปยังกัมพูชา ถ้าเจอจริงค่อยมาว่ากัน ขณะนี้เตรียมตัดสัญญาณต่างๆไว้หมดแล้ว พร้อมรับมือและจัดการ ส่วนการส่งกลับเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 7,000 คนนั้น ขั้นตอนส่งตัวกลับมาจะไม่รับเข้ามาทันที จะมีกระบวนการคัดกรอง มีประเทศรองรับเรียบร้อยถึงจะปล่อยเข้ามา จะไม่เปิดชายแดนไทยเป็นศูนย์อพยพขอบคุณ “ชิตตู่” ที่ช่วยไทยนายภูมิธรรมยังกล่าวถึงแถลงการณ์ของ พ.อ.หม่องชิตตู่ด้วยว่า ขอบคุณที่ส่งมา เป้าหมายสูงสุดของเราคือ ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามชายแดนหมดไป ให้ประชาชนไม่ว่าประเทศใดกลับคืนถิ่น ส่วนการที่ พ.อ.หม่องชิตตู่พร้อมให้ความร่วมมือปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่กำลังจะถูกออกหมายจับ ก็ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ ยืนยันเราไม่ทำอะไรผิดกฎหมายไม่พูดเรื่องหมายจับ “ชิตตู่”จากนั้นในช่วงบ่ายนายภูมิธรรมเปิดเผยเพิ่มเติมภายหลังประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีที่เรียกหน่วยงานด้านความมั่นคงมาหารือว่า ทุกเหล่าทัพได้รายงานสถานการณ์ชายแดน โดยเฉพาะความคืบหน้าการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ภายหลังเปิดปฏิบัติการซีลแนวชายแดน 51 อำเภอ ถือว่าปฏิบัติการช่วงต้นประสบความสำเร็จ ทำให้มีการปิดสถานบันเทิงที่เกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์ ส่วนคนที่ขอความช่วยเหลือ ต้องแยกแยะให้ชัดเจน หากไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะส่งตัวให้สถานทูตมารับ ประเทศใดมีคนจำนวนมากจะเช่าเหมาลำเครื่องบินมารับ ยืนยันไทยจะไม่ยินยอมเป็นศูนย์อพยพ ส่วนความคืบหน้าการระงับโซลาร์เซลล์กำลังดำเนินการอยู่ นายกฯ ได้ขอบคุณทุกฝ่ายที่ตั้งใจทำงาน และขอให้ทุกฝ่ายประสานงานกันให้ได้มากขึ้น แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องหมายจับ พ.อ.หม่องชิตตู่ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการ พร้อมย้ำถึงเป้าหมายคือ 1.เอาคอลเซ็นเตอร์ออกไป 2.ไม่ให้ใช้พื้นที่ไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ค้ามนุษย์ คอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ ถ้าเข้าใจตรงนี้ ก็ไม่มีเหตุผลต้องไปประท้วง หรือสร้างเงื่อนไขต่อ ถือว่าถ้าเป็นไปตามเป้าหมาย เรามีสิทธิคืนให้เขาได้ แต่ถ้ายังแก้ไขปัญหาไม่ได้ ต้องดำเนินการต่อ แต่เป้าหมายนั้นไม่สามารถพูดได้ว่าหมดสิ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ต้องให้เห็นชัด ให้ทุกคนรู้สึก เช่น เบอร์โทรศัพท์ลดลง คดีลดลง เป็นสิ่งที่ยืนยันรัฐบาลเอาจริง ตั้งแต่เริ่มคิกออฟมาตรการมีกระบวนการหลายอย่างตามมา ไม่ได้หยุดนิ่งนายกฯย้ำต้องเด็ดขาดทั้งนี้ มีรายงานว่า หลังจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกหน่วยงานด้านความมั่นคงเข้าหารือ จากนั้นเวลา 15.35 น. น.ส.แพทองธาร ทวีตข้อความผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า ได้ประชุมกับผู้นำเหล่าทัพเรื่องความมั่นคง มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม และ 4 ผู้นำเหล่าทัพและปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ขอบคุณต่อการทำงานหนักและเด็ดขาด ทั้งเรื่องภัยพิบัติธรรมชาติ คอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ ยาเสพติด การค้ามนุษย์ ทำให้ปัญหาต่างๆคลี่คลายไปด้วยดี ปัญหาหลายเรื่องยังมีอยู่และต้องดำเนินการทำงานอย่างต่อเนื่อง ตรงจุด ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันต่อไป โดยเฉพาะเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่คุกคามชีวิตประชาชน เป็นปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเดินหน้าแก้ปัญหาต่อไป ที่ผ่านมามาตรการตัดเส้นทางลำเลียงน้ำมัน-ตัดไฟ ถือเป็นมาตรการที่เด็ดขาดและได้ผล นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี จึงขอเร่งรัดคณะกรรมการโยบายด้านชายแดน ให้ขยายแผนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และขอให้รายงานกลับมาอีกครั้งในเวลา 1 เดือน เพราะปัญหาคอลเซ็นเตอร์ และความมั่นคงอื่นๆ เป็นวาระใหญ่ของรัฐบาลเพราะคือความปลอดภัยของประชาชน รัฐบาลเดินหน้าเต็มที่ พร้อมทำงานอย่างบูรณาการเพื่อแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ตรงจุด และแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและยาวโดยเร็วทอ.ส่งเอฟ 16 ข่มเมียนมาวันเดียวกัน พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ. กล่าวถึงการดูแลพื้นที่แนวชายแดนว่ากองทัพอากาศปฏิบัติตามกฎหมาย มีการแจ้งเตือนให้หน่วยบินสกัดกั้นหากพบมีอากาศยานไม่ทราบฝ่ายมีทิศทางเข้ามาในประเทศ จะสั่งเครื่องบินขึ้นสกัดกั้น ตอนนี้ฝั่งตะวันตกจะใช้เครื่องบินจากกองบิน 4 ฝูงบิน 403 เครื่องบินเอฟ-16 สามารถบินขึ้นภายใน 5 นาที ที่ผ่านมามีข่าวว่า มีการบินเข้ามาในทิศทางประเทศไทย ประมาณ 5 ไมล์ จึงสั่งให้บินสกัดกั้นและบินลาดตระเวนต่อ เพราะมองว่าอธิปไตยเหนือน่านฟ้าเป็นของเรา โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนมีการตัดไฟฟ้าในเมียนมา ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับ ผบ.ทอ.เมียนมาตลอดเรื่องชายแดน ถ้ามีอะไรรุกล้ำเข้ามา เราต้องปฏิบัติการตามหน้าที่พบ 4 รายข้ามจากเขมรมาไทยส่วนความเคลื่อนไหวการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทางฝั่งชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดวันที่ 14 ก.พ.กองกำลังบูรพาร่วมหลายหน่วยงานสามารถจับกุมและช่วยเหลือเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ในพื้นที่ จ.สระแก้ว ได้หลายราย เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า จนท.ชุดปฏิบัติการร่วมฯ พบชาย 1 คน หญิง 1 คน ลากกระเป๋าเดินทางสีดำ เดินลักลอบข้ามพรมแดนช่องธรรมชาติจากฝั่งปอยเปต กัมพูชา เข้ามาในประเทศไทย บริเวณระหว่าง จต.อ.12- จต.อ.13 บ้านดงงู ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จึงเข้าควบคุมตัว พบเป็นคนไทย ชื่อนายวีระวัฒน์ บุญปาล อายุ 21 ปี ภูมิลำเนา ต.มหาวัน อ.แม่สอด จ.ตาก และ น.ส.ภัทรวรรณ ตันมูล อายุ 21 ปี ภูมิลำเนา ต.แม่กาษา อ.แม่สอด จ.ตาก ไม่มีหนังสือเดินทางหรือหนังสือผ่านแดน และรับสารภาพว่าแก๊งคอลฯ ให้คนเขมรพามาส่งที่ริมชายแดน ต่อมาในช่วงสาย ชุดปฏิบัติการร่วม ร้อย ทพ.1201 จับกุมชายต้องสงสัยได้อีก 2 คน ลักลอบข้ามคลองพรมโหด ซึ่งเป็นคลองกั้นพรมแดนไทย-กัมพูชา จากฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา ลอบข้ามเข้ามาขึ้นฝั่งไทยบริเวณป่าละเมาะบ้านท่าข้าม ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ ทราบชื่อนายสุรศักดิ์ เชษฐบุรี อายุ 48 ปี ภูมิลำเนาอยู่ย่านพระรามที่ 2 กทม. และนายศราวุธ ศรีทอง อายุ 35 ปี ภูมิลำเนา อ.เมืองนครราชสีมา ที่ให้การว่าหนีตายจากขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนในฝั่งเขมรออกมา โดยทั้งสองกรณีต่างอ้างเหมือนกันว่าสมัครงานผ่านเฟซบุ๊ก รายได้ดี แต่กลับถูกพาเข้าเขมรผ่านช่องทางธรรมชาติ ไปทำงานที่ตึกสามชั้นและหกชั้นที่ปอยเปต ให้ทำงานร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงเงินทั้งจากคนไทยและชาวต่างชาติ และทั้ง 4 คนพูดตรงกันว่าผู้ควบคุมในแก๊งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน และหากไม่ทำตามคำสั่งก็จะถูกทำร้ายจับหนุ่มขนเงินไทย 7 แสนคาด่านส่วนที่ ด่าน ตม.อรัญประเทศ จนท.ตม.ประจำช่องตรวจหนังสือเดินทาง อาคารผู้โดยสารขาออก จับกุมนายปัญญา รัตนจันทร์ อายุ 38 ปี ภูมิลำเนาอยู่ ต.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ขณะจะนำเงินไทยเป็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท มัดละ 100,000 บาท จำนวน 7 มัด รวมเป็นเงิน 700,000 บาท ออกนอกประเทศโดยไม่ได้สำแดงหรือแจ้ง จนท.ศุลกากรแต่อย่างใด เบื้องต้นนายปัญญาอ้างว่าจะนำเงินสดออกไปเพื่อไปจ่ายค่าสินค้า แต่ จนท.ไม่ปักใจเชื่อ หวั่นเป็นเงินจากบัญชีม้า จึงร่วมกับ จนท.ศุลกากร คุมตัวพร้อมของกลางส่ง จนท.ฝ่ายกฎหมาย ด่านศุลกากรอรัญประเทศ ดำเนินการตามกฎหมายต่อไปช่วย 5 จีนกำลังถูกส่งไปเขมรนอกจากนี้ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงสระแก้ว (ส.ทล.5 กก.3 บก.ทล.) สกัดจับรถยนต์เชฟโรเลตสีดำ ทะเบียน กล-2618 พิษณุโลก ที่ลักลอบขนย้ายชาวจีน จากอ.แก่งคอย จ.สระบุรี มุ่งหน้าจะไปยัง อ.คลองหาด จ.สระแก้ว ขณะวิ่งอยู่บนถนนสุวรรณศร ระหว่าง กม.224-225 ทางหลวงหมายเลข 33 ตำบลบ้านแก้ง อำเภอเมืองสระแก้ว พบคนขับคือนายชัยวิชิต คล้ายนิ่ม อายุ 43 ปี ภูมิลำเนาอยู่ ต.คลองไก่เถื่อน อ.คลองหาด จ.สระแก้ว ภายในรถพบชายชาวจีนนั่งมา 5 คน ประกอบด้วยนายจาง ซิงตง อายุ 24 ปี (หนังสือเดินทางหมดอายุ) นายชิง หยู อายุ 22 ปี นายถัง โหย่ว อายุ 21 ปี นายจี้ หมิง เจีย อายุ 23 ปี และนายถัง เจี่ย อายุ 16 ปี ไม่มีหนังสือเดินทาง สอบสวนเบื้องต้น นายชัยวิชิตระบุว่า ได้รับจ้างขนย้ายชาวจีนมาจาก จ.สระบุรี เพื่อไปส่งที่ชายแดน อ.คลองหาด ได้ค่าจ้าง 3,000 บาท โดยชายชาวจีนทั้ง 5 คน อ้างว่าถูกหลอกมาทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา แต่หลังจากไทยสั่งตัดไฟฟ้า สัญญาณเน็ต และงดส่งน้ำมัน ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียวดีถูกกดดันอย่างหนัก ไม่มีไฟฟ้าและน้ำมันใช้ จึงย้ายฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากเมืองเมียวดี มาที่ฝั่งปอยเปต กัมพูชา จึงมีการขนย้ายพนักงาน ซึ่งชาวจีนทั้ง 5 คน ระบุว่าอยากกลับบ้านเกิดที่ประเทศจีน ไม่ต้องการมาทำงานแก๊งคอลฯ แต่ถูกหลอกมา และไม่อยากไปทำงานกับแก๊งคอลฯ ที่ปอยเปต จึงพยายามติดต่อขอความช่วยเหลือ กระทั่งตำรวจตามสกัดจับรถต้องสงสัยได้ ก่อนถูกส่งข้ามแดนไปปอยเปตช่วยเหยื่อก่อนสูญเงินแสนนอกจากนี้ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 13 ก.พ. พ.ต.อ.ปราโมทย์ จันทร์บุญแก้ว ผกก.สน.เพชรเกษม พร้อมฝ่ายสืบสวนร่วมกันช่วยเหลือ น.ส.จิดาภา ขอสงวนนามสกุล อายุ 21 ปี หลังหายตัวออกจากบ้านย่านบางแค พร้อมสร้อยคอทองคำหนัก 4 บาท ตามที่นายจันทร์ บิดา น.ส.จิดาภา แจ้งความไว้เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยลูกสาวแจ้งว่าจะออกไปทำธุระและไม่สามารถติดต่อได้ หลังรับแจ้งชุดสืบสวนไล่วงจรปิดจนพบที่โรงแรมไดม่อน ย่านบางแค สอบถามทราบว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ค่ายมือถือและตำรวจเชียงใหม่ ให้ไปเปิดเบอร์โทรศัพท์ใหม่ เพราะพบการพัวพันกับการกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ให้หาเงินมา 100,000 บาท เพื่อไม่ให้ดำเนินคดีกับผู้ปกครอง เหยื่อหลงเชื่อนำทองออกไปขาย ให้ไปหาโรงแรมเปิดห้องอยู่คนเดียว ห้ามรับสายใครหรือติดต่อกับใคร และให้โหลดแอป binance th (แอปเทรดคริปโต) เชื่อมกับบัญชีธนาคารแต่ก่อนทำธุรกรรมสำเร็จ ตำรวจตามมาพบก่อนบุกยึดซิมบ็อกซ์แก๊งคอลฯต่อมาเมื่อช่วงเช้าวันที่ 14 ก.พ. ตำรวจภาค 1 สนธิกำลังเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานเข้าตรวจค้นแหล่งปล่อยสัญญาณโทรศัพท์ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตามหมายค้นศาลอาญาพระโขนงที่ ค.6/2568 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเข้ตรวจค้นห้องพักในคอนโดแห่งหนึ่งในซอยสุขุมวิท 64 แขวงพระโขนงใต้ เขตพระโขนง หลังมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความถูกมิจฉาชีพโทร.มาหลอกว่าบัญชีพัวพันการฟอกเงิน ให้โอนเงินไปตรวจสอบ 100,000 บาท และโอนเงินไปยังธนาคารกรุงศรีอยุธยา ชื่อบัญชี สุรสิท สรดี จำนวน 100,000 บาท เมื่อตรวจสอบความเชื่อมโยงของบัญชีธนาคารพบว่าเชื่อมโยงกับคดีอื่นๆในลักษณะเดียวกันอีก 2 คดี ในพื้นที่ สภ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ และ จ.หนึ่ง ในภาคใต้ มูลค่าความเสียหายกว่า 500,000 บาทซึ่งจากผลตรวจค้นห้องพักพบทั้งเครื่องแปลงสัญญาณโทรศัพท์ ซิมบ็อกซ์ 4 เครื่อง โดย 1 เครื่องสามารถใส่ได้ 32 ซิม และใน 1 เครื่อง สามารถโทร. ออกได้ 6,000-8,000 ครั้งต่อวัน เท่ากับว่า 4 เครื่อง 128 ซิม สามารถโทร.ออกได้มากกว่า 800,000 ครั้งต่อวัน นอกจากนี้ มีโมเด็มต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ต 2 เครื่อง กล้องวงจรปิด 1 ตัว กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 1 ใบ จึงยึดไว้ทั้งหมด ส่งให้ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ตรวจเก็บดีเอ็นเอ และลายนิ้วมือแฝง นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง จากการสอบสวนเบื้องต้นห้องดังกล่าวมีหญิงชาวเมียนมา 2 คน มาขอเช่าห้องพักกับเจ้าของห้องคนไทย และได้ปล่อยเช่าห้องพักเป็นรายวันต่อให้กับญาติผู้ชาย ชาวเมียนมา ที่เป็นโปรแกรมเมอร์ ที่นำห้องมาปล่อยเช่าต่อให้คนร้ายวันละ 1,000 บาท โดยหญิงชาวเมียนมาทั้ง 2 คนอ้างว่าไม่รู้เห็นว่าใครเป็นผู้ที่นำซิมบ็อกซ์เข้ามาติดตั้งไว้ที่ห้องดังกล่าวส่ง 10 จีนแก๊งต้ม “ซิงซิง” กลับ ปท.จากนั้นเวลา 16.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะ นีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ/ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.)/ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ (ศตคม.ตร.) เผยว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองผลักดันส่งกลับผู้ต้องหาชาวจีน 10 ราย เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากเมียวดี เกี่ยวข้องกับกรณีหลอกลวงนายหวังซิง หรือซิงซิง นักแสดงชาวจีน และถูกจับกุมได้ในพื้นที่ต่างๆของประเทศไทย เพื่อส่งให้ทางการจีนรับตัวไปดำเนินคดี โดยส่งตัวให้ฝ่ายพิธีการเข้าเมือง ด่านตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บก.ตม.2 เพื่อผลักดันส่งกลับและส่งตัวให้ทางการจีนต่อไป“เฟย เกอ” หัวโจกถูกจับแล้วนอกจากนี้ มีรายงานว่าจากการสืบสวนขยายผลของ บก.สส.สตม. ผู้ต้องหาทั้ง 10 ราย เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปฏิบัติการอยู่ในเมืองเมียวดี มีส่วนเกี่ยวข้องหลอกลวงชาวจีนมาโดยตลอด รวมถึงเป็นกลุ่มที่หลอกลวงนายหวัง ซิงหรือซิงซิง นักแสดงชาวจีน โดยผู้ต้องหาชาวจีนทั้ง 10 ราย มีหน้าที่แตกต่างกันไปตั้งแต่เป็นผู้จัดการ พนักงานรักษาความปลอดภัย หรือเป็นเจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์ที่ทำหน้าที่โทร.หลอกลวงชาวจีน โดยเจ้าของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้มีชื่อว่า “นายเฟย เกอ” ทางการไทย ได้ประสานส่งมอบข้อมูลให้กับตำรวจจีน และได้รับแจ้งว่าจับกุมนายเฟย เกอ ได้แล้วที่ประเทศจีนจีนส่งข้อมูล 3.7 พันคนต้องสงสัยทั้งนี้ ก่อนหน้านั้น พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ได้กล่าวถึงการคัดกรองคัดแยกระหว่างเหยื่อกับกลุ่มมิจฉาชีพด้วยว่า ขณะนี้ทางการจีนได้ให้ข้อมูลมาที่ไทยแล้วว่ากลุ่มคนที่ไปทำงานที่ฝั่งประเทศเมียนมา มีรายชื่อ 3,700 คน ที่เป็นผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนในขบวนการค้ามนุษย์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ผ่านมาจากการที่ตำรวจเราคัดกรองบุคคลเข้า อ.แม่สอด จ.ตาก เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มใจที่จะเข้าไปประเทศเพื่อนบ้าน มีอยู่เพียง 2-3 รายเท่านั้น ที่แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าถูกหลอกลวงมา ยืนยันได้ว่าบุคคลทั้งหมดทางการไทยไม่พบการบังคับขู่เข็ญ ส่วนนี้เป็นข้อมูลที่เราสื่อสารกับทั่วโลกได้ว่าคนที่มาประเทศไทยไม่ได้ถูกประเทศไทยหลอก ตัวเลขเหล่านี้ยืนยันว่าเป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วย ไม่มีทางที่หน่วยระดับปฏิบัติการจะสร้างข้อมูลหลอก และไม่เกี่ยวกับการฟอกขาวให้คนที่ถูกสั่งให้เข้ามาช่วยราชการ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ ยืนยันว่า ผบ.ตร.สั่งการหากพบมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นก็พร้อมดำเนินคดีกับทุกคน ส่วนที่นายตำรวจดังกล่าวต้องถูกตรวจสอบในช่วงนี้เพราะอยู่ในช่วงสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ถึงแม้ว่าก่อนหน้าไม่ได้ทำ แต่หากพบว่าสถานการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น ก็จะมีการดำเนินการ รวมถึงนายพล ต.ก็อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบส่วนที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เผยถึงกรณีการตรวจสอบ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ ผบก.กต.5 รรท.ผบก.กต.6 หรือผู้การต๊ะ ในปมเอี่ยวเมียวดีคอมเพล็กซ์ว่า จะทำทุกเรื่องในทุกมิติ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ โดยเมื่อวันที่ 13 ก.พ. มีการประชุมสั่งงานกันเรียบร้อยแล้ว เพื่อตรวจสอบพิสูจน์ความจริง จะใช้เวลาครั้งแรกไม่เกิน 30 วัน จากนั้นต้องรายงานให้ ผบ.ตร.ทราบ อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบขยายได้ครั้งละ 15 วัน 2 ครั้ง หากพบความผิด ทุกอย่างจะถูกดำเนินไปตามข้อกฎหมาย ส่วนจะขยายผลไปถึงผู้ที่มีส่วนร่วมหรือไม่นั้นต้องดูก่อน เพราะขณะนี้อยู่ในขั้นตอนรื้อคดีและหาข้อมูลทั้งหมดเพื่อดูความเชื่อมโยงต่างๆ ยืนยันไม่กังวลใจ ทุกอย่างดำเนินไปตามพยานหลักฐานทั้งสิ้นอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่