สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤติ “หนี้สินครัวเรือนคนไทย” ที่น่าห่วงตัวเลขสูงติดอันดับโลกจากหนี้บัตรเครดิต ลีสซิ่ง สินเชื่อส่วนบุคคลที่โตเร็วเป็นปัจจัยต่อการบริโภค และฉุดรั้งการฟื้นตัวเศรษฐกิจในระยะยาวต้นตอหนี้ครัวเรือนสะสมนี้ไม่เพียงเกิดจาก “มรสุมเศรษฐกิจต้องเจอมาต่อเนื่องเท่านั้น” แต่ยังมาจากพฤติกรรมการใช้จ่าย และการก่อหนี้ของคนที่ขาดวินัยทางการเงินที่ดี เรื่องนี้ ดร.ขจร ธนะแพสย์ ผอ.ฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย เล่าผ่านสภาผู้บริโภค LIVE หัวข้อวิกฤติหนี้หายนะประเทศว่า หนี้ครัวเรือนค่อนข้างย่ำแย่อยู่ใน “ขั้นวิกฤติ” ในปี 2566 ภาพรวมทั้งประเทศมียอดค้าง 16.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 90.9 ต่อ GDP เป็นระดับตัวเลขคนไทยมีหนี้ 90.9% ของเงินเดือน ส่วนที่เหลือ 9.1% ไว้ใช้จ่ายดำรงชีพทำให้มียอดค้างหนี้เกิน 90 วัน กลายเป็น “หนี้เสีย (NPL) 1.1 ล้านล้านบาท” สะท้อนให้เห็นว่าคนไม่อาจชำระหนี้ได้เกิน 3 งวด ในระดับมากขึ้นจนถูกฟ้อง 2 ล้านคดี เป็นคดีแพ่ง 1.2 ล้านคดี และมีสถิติถูกบังคับคดี 3.3 ล้านคดีประการต่อมา “หนี้ที่ไม่เป็นธรรม” เรื่องการกู้ยืมเงินกว่า 2,000 บาท ต้องเขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรเสมอ “ในบางครั้งก็เกิดจากข้อตกลงไม่เป็นธรรมต่อลูกหนี้ส่งผลให้ชำระหนี้ไม่ได้ก็มี” แต่ว่าการจ่ายหนี้ไม่ได้นั้นกลับมองเป็นปัญหาที่เกิดจากลูกหนี้นำมาสู่การแก้ปัญหาด้วยการเน้นสร้างวินัยในการใช้จ่ายทั้งที่ลูกหนี้เจอกับ “การกู้ยืมเงินไม่เป็นธรรม” บางคนไม่ได้เห็นแม้แต่สัญญาถูกกำหนดดอกเบี้ยที่สูงมากเกินไปกลายเป็นต้นเหตุให้ชำระหนี้ไม่ได้เช่น “หนี้นอกระบบ” ทำให้ลูกหนี้ต้องวนเวียนการเป็นหนี้ไม่มีวันสิ้นสุดเช่นนี้ต้องมอง “อีโคซิสเต็ม (ecosystem) ของหนี้ทั้งหมด” แล้วแก้หลายจุดไปพร้อมกันเพราะความไม่เป็นธรรมนี้ไม่ใช่มีเฉพาะหนี้นอกระบบเท่านั้น แต่ในระบบก็เกิดขึ้นอย่างกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา (กยศ.) ปกติอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1% แต่ถ้าผิดนัดชำระหนี้จะถูกปรับ 18% ต่อปี ในจำนวนนี้มีผู้เกี่ยวข้อง 3 ล้านคน ส่วนใหญ่มีฐานะไม่ดี ทำให้เกิดเป็นหนี้เสีย 2.4 ล้านคน “ก่อความไม่เป็นธรรมต่อผู้กู้” จนต้องแก้กฎหมายปรับลดดอกเบี้ยลงมา 0.5% ต่อปี มีผลบังคับใช้เดือน มี.ค.2566 ทั้งปรับลำดับการตัดหนี้ใหม่ให้ตัดเงินต้นก่อน แต่การช่วยเหลือนี้มิได้ทำให้ดีกว่าลูกหนี้ชำระหนี้ดี เพราะค่าปรับยังต้องจ่ายเพียงแต่ทำให้ค่าปรับสมเหตุสมผลให้การกู้ยืมเป็นธรรมขึ้นหากย้อนมาดูปัญหา “ข้าราชการติดหนี้สูง” สาเหตุมาจากจ่ายหนี้ในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่าความเสี่ยงของสินเชื่อ เพราะสินเชื่อที่กู้ยืมนั้นเป็นรูปแบบไพรเวทเครดิตโดยส่วนราชการเป็นผู้หักเงินเดือนส่งให้แก่เจ้าหนี้ “หนี้เสียอาจมีนิดเดียว” แต่บางหน่วยงานอย่างครู ตำรวจ ก็พบการเก็บดอกเบี้ยแพงเกินกว่าที่จะเป็นดังนั้นจำเป็นต้องมีการควบคุมการกู้ยืมเงินให้อยู่ในศักยภาพ “ตามหลักสากลการใช้หนี้ต้องไม่เกิน 50% ของเงินเดือน” แต่ด้วยปัจจุบันไม่มีการควบคุมการกู้ยืมเงินส่งผลให้มีการกู้กันเกินศักยภาพตัวเองกลายเป็นเงินเดือนทั้งหมดถูกนำใช้หนี้จนไม่มีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ สุดท้ายต้องใช้บัตรเครดิต หรือกู้หนี้นอกระบบแทนเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ “ต้องแก้ไขตั้งแต่ต้นทาง” โดยปกติระบบการเงินยอดหนี้ครัวเรือน 16.2 ล้านล้านบาท “มีข้อมูลในเครดิตบูโร 13–14 ล้านล้านบาท” แต่ยังขาดข้อมูลหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ข้าราชการ 2 ล้านล้านบาท เพราะสหกรณ์ออมทรัพย์ไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกเครดิตบูโร ดังนั้นการตรวจสอบข้อมูลหนี้แต่ละคนจึงทำไม่ได้เทียบกับต่างประเทศกำหนดให้เจ้าหนี้ปล่อยกู้ส่งข้อมูลเครดิตให้หน่วยงานกลางสามารถตรวจเช็กสถานะการเป็นหนี้แต่ละคนได้ ดังนั้นเรื่องนี้ประเทศไทยต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์เพื่อควบคุมการกู้ไม่ให้เกินศักยภาพ “ตอนนี้หลายคนกู้เงินเกินศักยภาพเมื่อเจ้าหนี้เรียกเก็บไม่เหลือใช้ดำรงชีวิต แต่ถึงจะเป็นหนี้ก็มีสิทธิเหลือเงินดำรงชีพในฐานะมนุษย์โดยเฉพาะครูกว่าครึ่งเหลือเงินจากจ่ายหนี้ไม่ถึง 30% ของเงินเดือน ส่วนตำรวจ 5 หมื่นคนเหลือเงินใช้ 30% และ 9 พันคน มีเงินต่ำกว่า 2 พันบาท/เดือน จนโฟกัสงานไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ต้องแก้ด่วน” ดร.ขจรว่าประเด็น “ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้ฟ้องคดี” เรื่องนี้มีความสำคัญมาก “ลูกหนี้” ไม่ควรเพิกเฉยการไปศาลมิเช่นนั้นต้องเสียเปรียบทุกด้าน เพราะเคยมีกรณีเจ้าหนี้ลักไก่นำคดีหมดอายุ 10 ปี นำมาฟ้องคดี เช่นนี้หากลูกหนี้ไม่ไปศาลอาจต้องถูกคำพิพากษาตามที่ฟ้องคดีก็ได้ กรณีอย่างนี้ผู้บริโภคต้องรู้หากถูกฟ้องคดีมีหน้าที่ไปศาลเพื่อไปสู้คดีแล้วต้องรู้สิทธิ และศักยภาพการกู้ยืมเงินตัวเอง เรื่องนี้เคยผลักดันให้อยู่หลักสูตรโรงเรียนด้วยเพราะมีเด็กอายุ 15 ปี เป็นหนี้ส่วนบุคคลบัตรเครดิต แล้วต้องเข้าใจบัตรเครดิตเหมาะกับคนชำระหนี้ได้หมด มิเช่นนั้นจะถูกคิดดอกเบี้ยทั้งก้อนแม้จ่าย 90% ก็ถูกคิดดอกเบี้ย 100% ยิ่งคนจ่ายเฉพาะอัตราขั้นต่ำอาจต้องวนเวียนการเป็นหนี้อีกนานทว่าเรื่องหนี้ “รัฐบาล” ได้ตั้ง คกก.กำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย เพื่อการแก้ปัญหาหนี้สินให้ประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม ทั้งหนี้ กยศ. หนี้ข้าราชการ หนี้เช่าซื้อรถ หนี้บัตรเครดิตทั้งขับเคลื่อนให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งทุนทางการเงิน และศึกษาโครงสร้างทางกฎหมายที่อาจต้องแก้ให้สอดรับสถานการณ์ “สิ่งนี้ล้วนเป็นวาระสำคัญของประเทศ” เพราะหนี้ที่เกิดขึ้นมักกระทบเศรษฐกิจอย่างเช่น คนมีเงินเดือน 10,000 บาท ใช้หนี้ 9,000 บาท “ย่อมไม่มีกำลังซื้อ” ก็ต้องมีผลต่อเศรษฐกิจตามมาในที่สุด ขณะที่ สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการ สนง.สภาองค์กรของผู้บริโภค บอกว่า ประชาชนร้องเรียนเกี่ยวกับหนี้ไม่เป็นธรรมมามากมาย “คิดเป็นมูลค่า 501 ล้านบาท” แยกเป็นปัญหาคิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด ทำให้สัญญาไม่เป็นธรรมจากผู้กู้เงินไม่เห็นสัญญา หรือไม่มีความรู้กฎหมายกู้เงิน 2,000 บาท ต้องทำลายลักษณ์อักษรแล้วต้องได้สัญญากลับบ้านให้รู้ว่า “เงินต้น-ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเท่าใด” เมื่อไม่ได้รับสัญญาก็ถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยโหด นอกจากนี้ยังมี “การเรียกเก็บค่าทวงหนี้ไม่เป็นธรรม” ด้วยเรียกเกินกฎหมายกำหนด 150 บาท/ครั้ง หรือส่ง SMS ทวงถามค่าโทรศัพท์ 1 บาท แต่เรียกเก็บ 150 บาท ก็เกิดความไม่เป็นธรรมทำให้ผู้บริโภคเป็นหนี้มากขึ้นสิ่งนี้ล้วนเกี่ยวกับหนี้ที่ “ทุกคนไม่ต้องการกู้เงิน” แต่ด้วยมีเหตุต้องใช้เงินทั้งค่าหนังสือลูก คนในครอบครัวป่วยกะทันหัน ทำธุรกิจแล้วไปไม่รอด เมื่อ “สภาผู้บริโภค” ได้รับเรื่องก็จะเข้าไปช่วยเหลือเกี่ยวกับคดีต่อไปนี่เป็นสถานการณ์ “หนี้ครัวเรือนคนไทย” ที่เป็นปัญหาใหญ่ต้องแก้ไขเร่งด่วนมิเช่นนั้นก็เป็นปัจจัยฉุดรั้ง “การฟื้นตัวเศรษฐกิจ” แถมเป็นระเบิดเวลาที่อาจปะทุกระทบเสถียรภาพระบบการเงินเมื่อใดก็ได้. คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม