ส.พลายน้อย ทิ้งท้าย เรื่องพระสุรภีพุทธพิมพ์ วัดปรินายก ไว้ในหนังสือพระพุทธรูปสำคัญในประเทศไทย เล่ม 1 (เมืองโบราณ พ.ศ.2545) ว่า วัดปรินายกอยู่ไหน? หาไม่ยาก ไปถึงสะพานผ่านฟ้าฯ ถามคนแถวนั้น...เขาจะชี้ให้เอง
คนบ้านนอกอย่างผม เข้ากรุงครั้งแรกสมัยมีรถราง ราว พ.ศ.2501-2 อ่านแล้ว ก็ยิ้มสมเพชตัวเอง
เคยผ่านตาป้ายวัดแว่บๆคงนับพันครั้ง แต่จนป่านนี้แก่ใกล้ตาย ยังไปไม่ถึงสักที
เหตุที่อยากไปเพราะเคยรู้ว่า หลวงพ่อสุรภีพุทธพิมพ์ พระประธานในโบสถ์ หน้าตัก 3 ศอก คืบ 4 นิ้ว งดงามหนักหนา นักเขียนฝรั่ง นายวอลเตอร์ เอฟ เวลลา เลือกถ่ายภาพไปตีพิมพ์ในหนังสือเรื่องเมืองสยาม สมัยรัชกาลที่ 3 ก็แล้วกัน
ผมเปรียบเทียบกับหลายๆองค์ที่แวะเวียนไปกราบไหว้...เออ! หลวงพ่อสุรภี องค์นี้ท่านงามกว่าจริงๆ
ไม่เพียงพระพุทธรูปงาม เรื่องราวของวัดปรินายก ก็ซับซ้อนไม่ธรรมดา
ในชั้นเดิมเป็นวัดราษฎร์ แต่ความเป็นวัดใกล้กำแพงพระราชวัง มีเรื่องเล่าทำให้กลัวๆกัน เช่น เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ปฏิสังขรณ์ไม่ทันเสร็จก็ถึงอนิจกรรม เจ้าพระยามุขมนตรีรับช่วงทำต่อ ก็เป็นโทษ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯเคยรับสั่ง...ดังนั้น ในหลวงจะรับเป็นเจ้าภาพทำต่อไป ดีก็ดีอยู่ ถ้าไม่สบายไปต่างๆก็จะเป็นที่วิตกรำคาญไป
ถ้ามีพระราชาคณะหรือท่านผู้ใดชอบใจ จะใคร่พาพวกพ้องไปอยู่ให้สบาย ก็จงคิดเกลี้ยกล่อมหาผู้เป็นเจ้าของ เป็นเจ้านาย หรือขุนนางหรือเจ๊กจีนที่เป็นเศรษฐีหวีช้อง...ก็ทำไปเถิด ที่จะให้ในหลวงรับทำนั้น รังเกียจอยู่
เมื่อครั้งเจ้าพระยาบดินทรเดชา รับปฏิสังขรณ์ในสมัย ร.3 ท่านได้เชิญพระพุทธรูปมาด้วยองค์หนึ่ง เรียกชื่อกันแต่ก่อนว่า พระสารภี (แรกที่นำมาตั้งไว้ข้างต้นสารภี) เดิมทีพระศอชำรุด รัชกาลที่ 5โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ใหม่
...
มีบันทึกว่า ร.5 ทรงปิดทองส่วนพระพักตร์แล้ว โปรดให้พระบรม วงศานุวงศ์และข้าราชการปิดต่อ
ปรากฏในจดหมายเหตุ ร.ศ.119 (พ.ศ.2443) ได้ออกนามพระพุทธรูปใหม่ว่า พระสุรภีพุทธพิมพ์
อ่านพิธีหลวงตอนนี้ แสดงว่า ความรู้สึกรังเกียจเดิมๆที่เคยมีๆ สมัยก่อนหน้า ถึงสมัย ร.5 จางหายไปแล้ว
อะไร? เป็นประเด็นให้เริ่มรังเกียจวัดปรินายก...ส.พลายน้อย เล่าไว้ว่า เดิมวัดนี้ชื่อวัดพรหมสุรินทร์
ในนิราศพระปถวี มหาฤกษ์ กวีสมัย ร.4 กล่าวถึงวัดนี้ ตอนหนึ่ง
พอนาวาคลาคล่องเข้าคลองลัด นามชื่อวัดพรหมสุรินทร์ที่ถิ่นฐาน เขาลือข่าวเล่ามาก็ช้านาน ว่าชายชาญเชิงวิชาข้างหากิน คิดโสรฬสหมดเม็ดสำเร็จทั่ว แทงโปถั่วถูกได้ดังใจถวิล สร้างอารามนามสมพรหมสุรินทร์ ตามฐานถิ่นที่ตนเป็นคนเป็นรวย
น่าจะจับความได้...คนชื่อพรหมสุรินทร์ สำเร็จวิชาโสฬส (วิชาตาทิพย์) แทงโปแทงถั่วจนร่ำรวย จนเอาเงินมาสร้างวัด ทำนองเดียวกับยายแฟง รวยจากซ่องโสเภณี เอาเงินมาสร้างวัดคณิกาผล
จุดเริ่มต้นของความรังเกียจนี้ จน ร.3 ท่านโปรดฯให้เปลี่ยนชื่อ เมื่อมีเรื่อง เจ้าพระยาที่ปฏิสังขรณ์วัด คนหนึ่งตาย อีกคนมีคดีความ ความรังเกียจแต่เดิม รวมกับสมัยนั้น ความเชื่อแบบมูเตลูยังแรง จึงเพิ่มเป็นความกลัว
ก็กลัวกันถึงขั้น...ร.4 ท่านทรงประกาศให้หาเจ้าภาพปฏิสังขรณ์วัด นั่นปะไร!
สมัยพวกเราก้าวหน้ามากแล้ว ดูการเมืองเป็นตัวอย่าง คนเก่งวิชาโจร เคยติดคุกข้อหาแรงๆ หรือคนระหว่างพักโทษต้องขัง...ยังถูกเลือกมาใช้แก้ปัญหาสำคัญ
เออ! ถ้าปัญหาในประเทศนอกประเทศ ที่สุมรุมบ้านเมืองเราตอนนี้คลี่คลายไปได้ พวกที่ชอบนินทา ยอมให้โจรนั่งเมืองได้อย่างไร ก็คงจะได้หุบปากสนิทเสียที.
กิเลน ประลองเชิง
คลิกอ่านคอลัมน์ "ชักธงรบ" เพิ่มเติม