แม้จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นไปแล้วสำหรับ COVID-19 ที่ระบาดนานกว่า 5 ปี จนทำให้โลกทั้งโลกต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตหลายอย่างแบบไม่ทันตั้งตัวโควิด-19 หายไปพักใหญ่ๆ กระทั่งเมื่อต้นปี 2567 มีการตรวจพบไวรัสโคโรนาที่เป็นต้นเหตุของโควิด-19 สายพันธุ์ย่อย ชื่อว่า JN. 1 ที่เป็นสายพันธุ์ย่อยจากการกลายพันธุ์บริเวณโปรตีนหนามขึ้น 1 ตำแหน่ง ของโอมิครอน BA.2.86 หรือพิโรลา (Pirola) มีการตรวจพบสายพันธุ์ JN.1 ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 คนป่วยทั่วโลกประมาณเกือบ 1 แสนคน หลังจากนั้น JN.1 ซึ่งถือว่าเป็นสายพันธุ์ลูกของโอมิครอนก็มีการกลายพันธุ์ต่อเนื่องเป็น JN.1.4, JN.1.8.1, JN.1.7, JN.1.2 และ JN.1.9 แต่ที่กลายพันธุ์อย่างรวดเร็วและสามารถหลบเลี่ยงภูมิ คุ้มกันในร่างกายได้ดี ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี ซึ่งหมายถึงทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ก็คือสายพันธุ์ JN.1.4 ที่ระบาดคู่ขนานกับ JN.1 ซึ่งการปรับตัวของเชื้อโคโรนาไวรัส JN.1 ที่น่าสนใจ นอกจากกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วแล้ว ยังพบว่าการเข้าสู่ร่างกายมีการเปลี่ยน แปลง จากปกติที่เชื้อโควิดส่วนใหญ่จะเข้าไปเกาะเซลล์ของปอด อาจไปเกาะเซลล์ระบบทางเดินอาหาร หรืออาจไปถึงสมองได้ ล่าสุด นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ให้ข้อมูลการระบาดของเชื้อโควิด-19 ในช่วงหลังสงกรานต์ที่ผ่านมาว่า มีจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000 ราย โดยเป็นผู้ป่วยปอดอักเสบถึงเกือบ 300 ราย ในจำนวนนี้ต้องใส่ท่อช่วยหายใจประมาณ 100 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้วจำนวน 3 ราย โดยอัตราการติดเชื้อที่ต้องนอนรักษาตัวใน รพ.เพิ่มขึ้นประมาณ 18.26% ในช่วง 6 สัปดาห์ จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบเพิ่มขึ้น 20.66% และใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มขึ้น 17.44% คุณหมอธีระบอกว่า คาดประมาณจำนวนคนติดเชื้อใหม่ต่อวันอย่างน้อย 7,172-9,961 ราย แต่จำนวนการติดเชื้อจริงน่าจะมากกว่านี้ และยังคาดการณ์ด้วยว่า การระบาดในปีนี้อาจต่อไปถึงต้นมิถุนายน ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก การป้องกันตัวระหว่างใช้ชีวิตประจำวันมีความสำคัญ และการป่วยโควิดแต่ละครั้ง นอกจากความเสี่ยงต่อการป่วยรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต ยังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ Long COVID ที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตระยะยาวอีกด้วยเช่นเดียวกับ นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ที่ระบุว่า หลังสงกรานต์ที่ผ่านมามีผู้ป่วยทางเดินหายใจเข้ามารักษาจำนวนมาก โดยเฉพาะโควิด-19 เนื่องจากมีการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่อกลับมาส่วนหนึ่งก็ติดเชื้อไวรัสโควิด คุณหมอมนูญให้ข้อมูลว่า กลับมาครั้งนี้รูปแบบอาการของโรคโควิดเปลี่ยนไป ความรุนแรงของโรคและอาการน้อยลง จากเดิมจะมีอาการทางเดิน หายใจส่วนล่าง หลอดลม และปอด กลายเป็นอาการของทางเดินหายใจส่วนบน คอ จมูกแทนมากกว่า โดยอาการเด่นๆของผู้ป่วยโควิดที่เข้ามารักษาขณะนี้คือ เจ็บคอมากๆ มีไข้ต่ำ มีน้ำมูก คัดจมูกเล็กน้อย จมูกได้กลิ่น ไม่ค่อยไอเหมือนเดิมที่ผ่านมา ซึ่งเดิมจะมีอาการไอมากส่วนผู้ป่วยที่เดินทางไปต่างประเทศ เมื่อกลับมาแล้วติดโควิด จะมีอาการแตกต่างบ้างเล็กน้อย อาจเพราะเป็นคนละสายพันธุ์ คือ มีอาการไข้ มีไอมากกว่า แต่ไม่ค่อยเจ็บคอมากเท่าการติดเชื้อในประเทศไทย โดยในประเทศไทยปัจจุบันยังเป็นสายพันธุ์ JN.1 อยู่ นพ.มนูญบอกว่า ตอนนี้โควิด-19 อาการไม่รุนแรง และไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อน เพียงแต่ยังติดง่าย สิ่งสำคัญขอให้คนที่เริ่มมีอาการ ตั้งแต่เจ็บคอมากๆ ไข้ต่ำๆ มีน้ำมูก ให้ตรวจหาโควิดด้วยการแยงจมูกจากชุดตรวจ ATK เหมือนเดิม ถ้าขึ้นเป็น 2 ขีดแสดงว่าติดเชื้อไวรัสโควิด เมื่อทราบว่าตนเองติดเชื้อ จะได้ป้องกันไม่ให้มีการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุ กลุ่มเสี่ยง 608 เนื่องจากกลุ่มนี้ยังต้องระวัง เพราะอาการอาจมากกว่าคนทั่วไป และในผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด ก็ยังจำเป็นต้องฉีดวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 ที่ไม่เคยติดเชื้อ ไม่เคยฉีดก็ขอให้ฉีดส่วนคนที่ร่างกายแข็งแรง เคยฉีดวัคซีน และเคยติดโควิดมาแล้วสามารถรักษาตามอาการได้ ไม่ต้องกินยาต้านไวรัส จะหายได้เองไม่กี่วัน และแม้ปัจจุบันโควิดอาการจะไม่มาก แต่ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตหรือไม่ โดยเฉพาะการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่รวดเร็วมาก.คลิกอ่านคอลัมน์ "สมาร์ทไลฟ์" เพิ่มเติม