กรมวิชาการเกษตร ในฐานะหน่วยงานวิจัยหลักด้านเกษตรของประเทศไทย ในการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน แก้ไขปัญหาด้านแรงงานภาคเกษตร รวมถึงเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร เพื่อสร้างรายได้เพิ่มกับเกษตรกร ตามนโยบายการเกษตรอัจฉริยะของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2567 สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร ได้พัฒนาโรงเรือนอัจฉริยะอย่างง่ายสำหรับการปลูกพืชผักที่มีราคา ให้สามารถอยู่ร่วมกับการทำเกษตรตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่ได้อย่างกลมกลืน ใช้แรงงานน้อยลง และเพิ่มคุณภาพของผลผลิต และปลอดสารพิษตกค้าง

เป็นโรงเรือนขนาดกว้าง 5.3 ยาว 18 เมตร สูงจากพื้นถึงคานบน 2.35 เมตร หลังคาพลาสติก ด้านข้างเปิดโล่ง หรือสามารถติดแสลนบังแสงและลมด้านข้างได้ เพื่อปลูกผักไฮโดรโปนิกส์แบบน้ำนิ่งในกล่องโฟม วางโต๊ะปลูกขนาด 1×3 เมตร ได้ 10-15 โต๊ะ แต่ละโต๊ะวางกล่องโฟมปลูกผักขนาด 39×54×20 เซนติเมตร ได้ 10-12 กล่อง แต่ละกล่องสามารถปลูกได้ 6-8 ต้น โดยโรงเรือนสามารถปลูกผักได้ 600-1,440 ต้น
“ภายใต้หลังคาโรงเรือนได้ติดตั้งระบบตาข่ายพรางแสงอัตโนมัติเพื่อลดความร้อนที่จะสัมผัสกับผักโดยตรง ควบคุมมอเตอร์พรางแสงด้วยบอร์ดสมองกลฝังตัว Arduino uno ซึ่งอ่านค่าอุณหภูมิจากเซ็นเซอร์ในโรงเรือนและประมวลผลทุก 3 นาที ถ้าอุณหภูมิของอากาศภายในโรงเรือนสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส ตาข่ายพรางแสงจะทำงานอัตโนมัติ เขียนโปรแกรมควบคุมสมองกลด้วยภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้ของเกษตรกร และได้ออกแบบให้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์สำหรับควบคุมการทำงานของมอเตอร์พรางแสง เพื่อประหยัดค่าใช้ไฟฟ้าและลดการเดินสายไฟมาที่แปลง และตั้งเวลานาฬิกาที่ใช้ปิด-เปิด ระบบควบคุมเฉพาะช่วงเวลา 06.00-20.00 น. เพื่อประหยัดแบตเตอรี่”
...


นางสาวขนิษฐ์ หว่านณรงค์ วิศวกรการเกษตรชำนาญการพิเศษ สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม ให้ข้อมูลผลการทดสอบเบื้องต้น...ทดสอบช่วง ม.ค.-ก.พ.2567 ซึ่งมีอุณหภูมิเฉลี่ย 30 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ย 58% ปลูกผักสลัดสายพันธุ์ต่างๆ ได้แก่ ผักกาดหอมอิตาลี, บัตเตอร์เฮด, กรีนคอส, เรดคอส, กรีนโอ๊ค, เรดโอ๊ค, ฟินเลย์ รวม 480 ต้น
พบว่าผักมีอัตราการรอดหลังลงปลูกในกล่องโฟม 95.0% ได้ผลผลิตรวม 53.7 กก. (ไม่รวมน้ำหนักราก) มีน้ำหนักเฉลี่ยต้นละ 120.30 ก./ต้น

วิศวกรการเกษตรชำนาญการพิเศษให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงการปลูกผักสลัดไฮโดรโปนิกส์แบบน้ำนิ่งในกล่องโฟม มีจุดเด่นคือใช้น้ำน้อยมาก ประมาณต้นละ 4-5 ลิตร ไม่ต้องใช้คนงานดูแลมาก ระหว่างการลงกล้าปลูกผักในกล่องโฟม จนถึงการเก็บผักเติมน้ำแค่ 2 ครั้ง คือเติมน้ำผสมปุ๋ย (ปุ๋ย A+B) ราว 2-3 สัปดาห์หลังลงกล้า และเติมน้ำเปล่าอีกประมาณ 4 สัปดาห์หลังลงกล้า โดยไม่ใช้สารเคมีเลย
สำหรับต้นทุนในการสร้างโรงเรือนอัจฉริยะหลังนี้ทั้งระบบจะอยู่ที่ 45,000 บาท แต่หากเกษตรกรมีโรงเรือนอยู่แล้วต้องการใช้งานระบบควบคุมอัตโนมัติ จะต้องเสียค่าวัสดุทำตู้ควบคุมราคาประมาณ 5,000 บาท และวัสดุสำหรับม่านพรางแสงที่ควบคุมด้วยมอเตอร์อีกประมาณ 10,000 บาท
สนใจโรงเรือนผักอัจฉริยะพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร โทร.0-2940-5790 และ 08-9154-3256.

...

ชาติชาย ศิริพัฒน์
คลิกอ่าน "ข่าวเกษตร" เพิ่มเติม