ความสับสนวุ่นวายของผู้คนในสังคมทุกวันนี้ เนื่องมาจากแต่ละคนได้ห่างเหินศีลธรรมหรือขาดธรรมะประจำใจในการดำเนินชีวิตและในการประกอบอาชีพหน้าที่การงานอย่างมาก คนที่มีโอกาสก็ฉวยโอกาสในทางที่ผิดมากขึ้น คนที่ด้อยโอกาสก็กลายเป็น “เหยื่อ” อยู่ร่ำไป

...จนเกิดการเหลื่อมล้ำในการดำรงชีวิตประจำวัน รวมถึงการอยู่ร่วมกันในสังคม

พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกว่า ส่วนหนึ่งที่จะสามารถป้องกันปัญหาและแก้ไขปัญหาได้จะต้องหันมาใส่ใจ ให้ความสำคัญในเรื่อง “ศีลธรรม”

“มาเรียนรู้...เข้าใจจนสามารถนำไปประพฤติปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน ในที่สุดผลดีที่เป็นฝ่ายบวกก็จะเกิดขึ้นกับผู้คนในสังคมอย่างเป็นปัจจุบันโดยที่ไม่ต้องรอชาติหน้า”

ถ้าพูดถึงเรื่องของศาสนาแล้ว บางคนมองข้ามและไม่ให้ความสำคัญเลยเพราะถือว่าเป็นเรื่องล้าหลัง ไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการในชีวิตประจำวันได้เลย ไม่เหมือนกับปัจจัยสี่ คืออาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น...ต้องใช้อยู่ทุกวัน

แต่อย่าลืมว่าการดำเนินชีวิตแต่ละวันของผู้คนในสังคมจะต้องมี “สติปัญญา” เดินควบคู่กันไป ชีวิตของมนุษย์ทุกลมหายใจจะต้องมีสติ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ถ้าขาดสติในอิริยาบถใดแล้ว โอกาสที่จะเกิดความผิดพลาด เกิดความเสียหาย รวมถึงเกิดการสูญเสียก็จะมีมากขึ้นโดยที่มีตัวอย่างให้เห็นอยู่ทุกวัน

...

สติจึงเป็น “หางเสือ” ของชีวิตที่จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตประจำวันผ่านพ้นไปด้วยดี

ในขณะเดียวกันมนุษย์เราจะต้องใช้ “ปัญญา” ในการเรียนรู้และไตร่ตรองทุกสิ่งทุกอย่างที่ย่างกรายเข้ามาในชีวิต ถ้าปัญญาดีก็มีโอกาสที่จะเรียนรู้และเข้าใจจนสามารถนำไปแก้ไขปัญหาให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตประจำวัน หรือปัญญาที่เฉลียวฉลาดยิ่งขึ้นก็จะก่อให้เกิดการเข้าใจ

สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆไปได้ดีเช่นเดียวกันในทางตรงกันข้ามถ้าคนที่ไม่ฉลาดปัญญาไม่ดีเลิศแล้ว โอกาสที่จะเข้าใจปัญหาก็ย่อมด้อยคุณภาพลง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมศาสดาจึงได้เปรียบมนุษย์เสมือนกับดอกบัวสี่เหล่า ดอกบัวเหล่าที่หนึ่ง เป็นดอกบัวที่โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำแล้วพร้อมที่จะเบ่งบานเมื่อถูกแสงพระอาทิตย์ส่องลงมา เปรียบเสมือนบุคคลที่มีความเฉลียวฉลาด เมื่อถูกสอนให้ความรู้หรือแนะนำพร่ำสอนก็สามารถรับรู้ เข้าใจได้เร็ว

จึงเป็นบุคคลที่มีปัญญาเป็นเลิศเรียกว่า “อุคฆฏิตัญญู”

ดอกบัวเหล่าที่สอง เป็นดอกบัวที่อยู่เสมอน้ำพร้อมที่จะเบ่งบานในวันถัดไปเมื่อถูกแสงพระอาทิตย์ส่องลงมา เปรียบเสมือนบุคคลที่มีปัญญาพอที่จะรับรู้เรียนรู้และเข้าใจค่อนข้างเร็วเมื่อได้รับคำแนะนำพร่ำสอนเรียกว่า “วิปจิตัญญู”

ดอกบัวเหล่าที่สาม อยู่ใต้น้ำ พอผ่านไปหลายวันก็มีโอกาสที่จะโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเบ่งบานเมื่อได้รับแสงพระอาทิตย์ เปรียบเสมือนบุคคลที่พอจะแนะนำพร่ำสอนได้คือพอมีปัญญาปานกลาง เมื่อได้รับคำแนะนำพร่ำสอนอยู่บ่อยๆและเพียรพยายามเรียนรู้อยู่เรื่อยๆก็จะเข้าใจ นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เรียกว่า “เนยยะ”

สุดท้าย ดอกบัวเหล่าที่สี่ เป็นดอกบัวที่อยู่ในโคลนตมไม่มีโอกาสที่จะโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเบ่งบานเลย ต้องตกเป็นอาหารของปลาและเต่าไปในที่สุด เปรียบเสมือนบุคคลที่อับปัญญา รู้ได้เฉพาะตัวอักษร แต่ไม่เข้าใจในเนื้อหา ไม่สามารถจะเรียนรู้อะไรได้มากนัก บุคคลประเภทนี้เรียกว่า “ปทปรมะ”

“มนุษย์” เราย่อมมีความแตกต่างกันในการเรียนรู้และรับรู้สิ่งต่างๆ มีความรู้และความสามารถทางสติปัญญาไม่เท่ากัน แต่จะอย่างไรก็ตาม มนุษย์เราย่อมสามารถฝึกสติและเพิ่มปัญญาของตนเองให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมได้ทุกคน คนที่ไม่สามารถฝึกฝนหรือแนะนำพร่ำสอนได้เลยคือ “คนที่อวดฉลาด” นั่นเอง

ในสังคมปัจจุบันผู้คนในสังคมขาดศีลที่เป็นเบื้องต้นของความเป็น “มนุษย์” กันมากจนเกิดการเบียดเบียน ชิงดีชิงเด่น แย่งเอาสมบัติของคนอื่นมาเป็นของตนเอง ประพฤติผิดทางเพศ ผิดทั้งทางศีลธรรมและผิดทางกฎหมายบ้านเมือง มีพฤติกรรมหลอกลวงใส่ร้ายคนอื่นให้ตกเป็น “เหยื่อ” หรือได้รับความเดือดร้อน

บางคนไม่น้อยเลยที่ตกเป็น “ทาส” สิ่งมึนเมา ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดการยับยั้งชั่งใจ ตกเป็นทาสของอารมณ์จนก่ออาชญากรรมขึ้นมา คนที่ตกเป็นเหยื่อก็ได้รับความเสียหาย เหล่านี้ล้วนมาจากขาด “ศีลห้า”

...

วิธีการแก้ไขปัญหาหรือป้องกัน เราจะต้องหันมาปูพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ แนะนำพร่ำสอนให้มนุษย์เราได้มีจิตใจที่ประกอบไปด้วยความเมตตาคือมีความสงสารเขา มีความกรุณาคือมีจิตใจที่อยากจะช่วยเหลือเขาที่ตกทุกข์ได้ยากให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบากนั้นๆ ให้มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน

“รู้จักให้โอกาส...ให้อภัยแก่คนที่ผิดพลาด รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ให้สำนึกว่าทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนต้องการความสุขและไม่ต้องการความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ขอจงแบ่งความสุขที่เรามีแก่คนอื่นและรับทราบความทุกข์ของคนอื่นบ้าง ในขณะเดียวกันหันมาประกอบอาชีพ หน้าที่การงานที่ซื่อสัตย์สุจริต

...ไม่ผิดหลักธรรมคำสอนของศาสนา ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง ไม่ขัดต่อประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่นนั้นๆ รักอาชีพใด ถนัดในหน้าที่การงานใดในทางที่ถูกที่ควร ขอจงลงมือด้วยความขยันหมั่นเพียร มีความมานะพากเพียร เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในวันข้างหน้า”

ในท้ายที่สุดก็จักก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเองและคนอื่น รู้จักว่าอะไรดีอะไรชั่ว

การป้องกันปัญหาที่จะได้ผลจะต้องเริ่มต้นที่ “ตัวเรา” ในวันนี้ การมีวาจาที่ซื่อสัตย์สุจริตในการสื่อสารกับบุคคลอื่นยิ่งมีความสำคัญยิ่งในปัจจุบัน คนที่ใช้วาจาสุภาพ อ่อนโยน ให้เกียรติแก่คนอื่น มีจิตเมตตาเป็นที่ตั้งแล้วจึงพูดออกไป ล้วนแต่จะก่อให้เกิดประโยชน์โดยประการทั้งปวง

...

รวมถึงการใช้ชีวิตที่ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท มีสติสัมปชัญญะแล้วก็จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาล เพราะสติได้เตือนให้เราระลึกอยู่ตลอดเวลา ส่วนสัมปชัญญะได้เตือนให้เรารู้ตัวว่ากำลังคิดกำลังพูดและกำลังทำอะไรอยู่ ทางพระจึงเรียกว่า “เบญจศีลและเบญจธรรม”

มนุษย์เราเป็น “สัตว์สังคม” ที่มีกฎกติกาของการอยู่ร่วมกัน เราไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เพียงคนเดียวหรือตามลำพัง จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ดังนั้นกติกาทางสังคมยังมีอยู่ก็ควรเรียนรู้และปรับตนเองให้เข้ากับสังคมนั้นๆ ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ค่อยๆ จับเข่าปรึกษาหารือหาทางออก

ความสุข ความรัก ความอบอุ่น ความมั่นคงในชีวิตของเด็กแต่ละคนหรือในชีวิตของมนุษย์แต่ละชีวิตนี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสุข...เพราะบุคคลเหล่านั้นได้รับการเลี้ยงดูที่ดี ได้รับการฝึกอบรมบ่มนิสัยที่ดี สุข...เพราะบุคคลใกล้ชิดนับตั้งแต่บิดามารดามีความรัก มีความอบอุ่น อุ่นกายอุ่นใจ

สุข...เพราะได้รับการแนะนำพร่ำสอนอย่างสม่ำเสมอ สุข...เพราะสมาชิกในครอบครัวมีศีลและมีธรรม สุข...เพราะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี สุข...เพราะมีอนาคตที่สดใส แต่เด็กจะต้องพบแต่ความทุกข์ตราบใดที่ผู้ใหญ่ในครอบครัวและสังคม “ขาดศีลธรรมอันดีของศาสนา” ไป

...

ศาสนาคือหลักธรรมคำสอนที่ยังมีความสำคัญและจำเป็นในสังคมปัจจุบัน ยังไม่สายเกินไปที่เราจะร่วมใจกันให้ “สติ” และให้ “ปัญญา” แก่อนุชนรุ่นหลัง จึงเป็นภาระ...หน้าที่ของเราทุกคนที่จะร่วมใจกันสร้าง “สังคมให้ปกติสุข”...ศีลธรรมเท่านั้นที่จะนำโลกให้เกิดแต่ความสงบและความสุข.