แม้จะเปลี่ยนเป็นโรคประจำฤดูกาลไปแล้วสำหรับโควิด-19 แต่โดยสายพันธุ์ไวรัสของเชื้อชนิดนี้ ยังคงมีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่องล่าสุด ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์ เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า โควิด-19 end game โดยเข้าสู่โรคประจำฤดูกาล และว่าโรคโควิด-19 ไม่ได้หายไปไหน และน่าจะสิ้นสุดด้วยการเปลี่ยนเป็นโรคประจำฤดูกาลต่อไปอย่างไรก็ตาม ในอีก 2 วันต่อมา คุณหมอยง โพสต์เฟซบุ๊กอีกครั้งในหัวข้อ “โควิด–19 สายพันธุ์ที่ต้องติดตาม คราเคน (Kraken) และ ออร์ธรัส (Orthrus)” โดยระบุถึงการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังเกิดขึ้นอีก 2 สายพันธุ์ ที่ชื่อว่า คราเคน และ ออร์ธรัส หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ให้ข้อมูลว่า เชื้อไวรัสก่อโรคโควิดมีการกลายพันธุ์มาตลอด เพื่อหลบหลีกระบบภูมิต้านทานของร่างกาย จึงทำให้เป็นแล้วเป็นอีกได้ แต่ความรุนแรงไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่สำหรับสายพันธุ์ คราเคน และ ออร์ธรัส ถือว่าเป็นสายพันธุ์อันตราย เพราะหลบหลีกระบบภูมิต้านทานได้เป็นอย่างดีคราเคน คือ สายพันธุ์ XBB.1.5 ที่พบมากในอเมริกาและยุโรปขณะนี้ สามารถหลีกภูมิต้านทานได้ดี และมีโอกาสที่จะเป็นสายพันธุ์หลักต่อไปได้ มีการตั้งชื่อว่า คราเคน (Kraken) ซึ่งเป็นชื่อของสัตว์ทะเลประหลาดในตำนาน นิยาย ที่มีการเล่ากันมา ในยุโรปกว่า 300 ปีมาแล้ว ลักษณะเหมือนปลาหมึกยักษ์ คอยจมเรือ การเรียกสายพันธุ์โควิดนี้ ทำให้มองดูเข้าใจได้ว่าสายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์อันตรายที่ต้องติดตาม ส่วน ออร์ธรัส (Orthrus) คือ สัตว์ในเทพนิยายของกรีก เป็นสุนัข 2 หัว มีหางเป็นงู ลองจินตนาการดูถึงความน่ากลัวและอันตราย โควิด ออร์ธรัส คือ สายพันธุ์ CH.1.1 เป็นสายพันธุ์ที่มีแนวโน้มจะพบเพิ่มขึ้นและพบว่าหลบหลีกภูมิต้านทานที่เกิดจากการติดเชื้อและวัคซีนในอดีต ในอเมริกาเอง ก็พบสายพันธุ์นี้แต่ยังน้อยกว่าคราเคน ซึ่งทั้ง 2 สายพันธุ์ยังจัดอยู่ในโอมิครอนในตระกูลของ BA.2คุณหมอยง บอกว่า ทั้งสองสายพันธุ์มีรายงานในธนาคารพันธุกรรมของโควิด GISAID แต่มีแนวโน้มพบเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ได้ระบาดอย่างกว้างขวางในประเทศไทย โดยพบว่ามีการนำมาจากต่างประเทศ “จากการศึกษางานวิจัยของศูนย์ฯที่ผมทำอยู่ ในเดือนธันวาคม ถึงมกราคมจำนวนมากกว่า 250 สายพันธุ์ พบว่า 75-88% เป็นสายพันธุ์ BA.2.75 พบสายพันธุ์คราเคน 1 ราย ออร์ธรัส 4 ราย ซึ่งคงต้องเฝ้าระวังติดตามกันต่อไป” คุณหมอยงบอกและว่า จากข้อมูลที่มีอยู่นี้ความรุนแรงของโรคยังไม่ได้เพิ่มขึ้น อันตรายของสายพันธุ์นี้ คือหลบหนีระบบภูมิต้านทานที่เรามีอยู่และจะทำให้ติดเชื้อซ้ำได้ทั้งนี้ การระบาดของโควิด-19 ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 70% ทั่วโลก หรือประมาณ 5,000 ล้านคน ซึ่งอาจจะต่ำกว่าความเป็นจริงประมาณ 10 เท่า และองค์การอนามัยโลกอาจจะเลิกนับตัวเลขในเร็วๆนี้ หลังจากการระบาดในประเทศจีนลดลง และส่วนใหญ่ติดเชื้อแล้ว ส่วนประเทศไทยไม่มีการรายงานตัวเลขติดเชื้อ แต่รายงานเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาลและผู้เสียชีวิตเท่านั้นโดยภาพรวมความรุนแรงของโควิด-19 ลดลงมาโดยตลอด ผู้เสียชีวิตมากกว่า 80% เป็นผู้สูงอายุ และมีโรคประจำตัว ในอนาคตอันใกล้ เมื่อเข้าสู่โรคประจำฤดูกาล การให้วัคซีนจะเหลือปีละ 1 ครั้ง การนัดคนมาฉีดพร้อมกันเพื่อลดการสูญเสียของวัคซีนจะทำได้ยากขึ้น โดยเฉพาะวัคซีนมีอายุสั้น การเก็บรักษายุ่งยาก ใช้อุณหภูมิติดลบ ยิ่งทำให้ราคาแพงขึ้น การให้ได้วัคซีนตรงกับสายพันธุ์ยิ่งยากเข้าไปอีก เพราะการพัฒนาต้องมีต้นทุนสูงและเมื่อพัฒนาขึ้นมาแล้วไวรัสก็เปลี่ยนสายพันธุ์ไปอีกส่วนประเทศไทยมีการติดเชื้อไปแล้วมากกว่า 70% ถึงวันนี้ น่าจะถึง 80% ทำให้มีภูมิต้านทานแบบธรรมชาติร่วมกับภูมิต้านทานจากวัคซีน ในประชากรเกือบทั้งหมด ถ้าจำเป็นต้องฉีดวัคซีนปีละ 1 ครั้ง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฉีดทุก 4-6 เดือน โดยให้วัคซีนในกลุ่มเสี่ยง ปริมาณวัคซีนที่ใช้ต่อปีก็จะเหมือนไข้หวัดใหญ่ ที่มีฤดูกาลระบาดในฤดูฝนหรือโรงเรียนเปิดเทอมแรกในเดือนมิถุนายนนั่นเอง โดยการให้วัคซีนประจำปี ควรจะเป็นเดือนเมษายน-พฤษภาคม เพื่อป้องกันการระบาดในฤดูฝน ที่จะเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนของทุกปี.