ผมอ่านข่าว รัฐบาลเดินหน้าเต็มสูบ ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็กนักเรียนอายุ 12–18 ปี ทั่วประเทศที่ผู้ปกครองยินยอมให้ฉีดราว 4 ล้านคน ด้วยความตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง––และขอขอบคุณกระทรวงสาธารณสุขเป็นอย่างยิ่งที่รับปากว่าจะฉีดได้ตามเป้าภายในเดือนตุลาคมนี้อย่างแน่นอน

จำนวนเด็กนักเรียนที่จะฉีดประมาณ 4 ล้านคนที่ว่านี้ เท่ากับร้อยละ 80 ของนักเรียนทั้งหมดทั่วประเทศในเกณฑ์อายุนี้...ฉีดได้ตามเป้าเมื่อไรก็คงจะสามารถเปิดเรียนเปิดสอนที่โรงเรียนต่างๆกันได้เสียที

เพราะทุกวันนี้ต้องเรียนต้องสอนและดูเหมือนจะสอบด้วยทางออนไลน์ ทำให้มีเสียงบ่นเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันรึ่มไปหมดว่าไม่ค่อยจะได้ผลมากนัก

เด็กๆเรียนบ้างไม่เรียนบ้างแบบไม่เต็มที่--บางชั้นบางอายุ ผู้ปกครองต้องมาเรียนกับเด็กๆและเมื่อมาเรียนแล้วเห็นลูกไม่สนใจก็อารมณ์เสียดุลูก ทะเลาะกับลูก จนประสาทจะกินไปตามๆกัน

หากมีการฉีดวัคซีนจนเด็กๆสามารถกลับไปเรียนที่โรงเรียนได้เมื่อไรก็คงจะช่วยให้การเรียนการสอนของเราในปีนี้ค่อยๆกลับมาสู่สถานภาพเดิมอย่างที่เคยเป็นมา นับตั้งแต่เราเปิดการเรียนการสอนแก่เด็กๆขึ้นในประเทศนี้

นั่นก็คือการไปนั่งเรียนรวมกัน ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ที่จัดไว้ ...เช่น ในสมัยโบราณก็มักจะเป็นศาลาวัดและต่อมาก็มีการสร้างโรงเรียนขึ้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราวทั่วทุกแห่งหนในประเทศไทย

ทำให้เด็กๆเรียนหนังสือได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามหลักสูตรมากกว่าการเรียนทางออนไลน์ ดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้ และก็ยังมีโอกาสได้ ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆ เป็นการเข้า “สู่สังคม” ของเด็กๆทั้งเรียนร่วมกัน ทำกิจกรรมร่วมกันและเล่นสนุกด้วยกัน...ครบถ้วนทุกประการ

สำหรับการเรียนการสอนแบบ “ออนไลน์” ที่เราดำเนินการ อยู่ทุกวันนี้และได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ตลอดจนมีปัญหาหลายๆ อย่างดังที่ทราบกันดีอยู่แล้วนั้น...ก็อย่าไปคิดอะไรมากเลยครับ

...

ถือว่ามันเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติที่เกิดขึ้น...ซึ่งเป็นเรื่องชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อเราให้เด็กๆไปเรียนด้วยกันไม่ได้เพราะจะติดเชื้อแพร่เชื้อโควิด-19 ก็จำเป็นต้องหาวิธีอะไรสักอย่างมาให้เด็กๆได้มีโอกาสเรียนหนังสือโดยไม่ขาดตอน

กระท่อนกระแท่นบ้างไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยบ้าง ก็อย่าไปซีเรียสอะไรมากนัก...เอาไว้เรียนหรือสอนย้อนหลังก็คงไม่ช้าจนเกินไป

เวลาญาติๆผมมาบ่นเรื่องนี้ให้ฟังผมก็จะปลอบใจไปว่า ขอให้นึกถึงคนรุ่นก่อนๆในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนที่มีเครื่องบินมาทิ้งระเบิดใส่กรุงเทพฯ และเมืองสำคัญของไทยทุกวัน...เถิด

กระทรวงศึกษาธิการยุคโน้นเขาก็จัดให้นักเรียนในเขตระเบิดไปเรียนที่โน่นที่นี่ ไปต่างจังหวัดบ้าง ไปอยู่โรงเรียนเล็กๆบ้าง มีครูไปสอนครบบ้าง ไม่ครบบ้าง แก้ขัดกันไปก่อน

พอเสร็จสงครามโลกค่อยกลับมาเรียนกันใหม่ และก็เรียนกันได้ดีๆเหมือนเดิม...หลายๆคนที่ผ่านการเรียนกระท่อนกระแท่นในภาวะสงครามที่ว่านี้ ต่างได้ดิบได้ดีกันเป็นแถวๆ ประสบความสำเร็จเป็นใหญ่ เป็นโตก็หลายคน เท่าที่เราอ่านจากบันทึกสมัยเก่าๆ

ผมก็ขอให้ญาติๆที่มีลูกหลานทำใจ ขอให้นึกว่ากรณีที่เราเผชิญกันอยู่นี้ ก็เป็นสงครามเช่นกัน...เพียงแต่เป็น “สงครามโรค” ไม่ใช่ “สงครามโลก” เท่านั้น

สมัยก่อนพอ “สงครามโลก” คลี่คลายเราก็มาสอนเสริมเรียนเสริมจนเด็กไทยยุคโน้นมีความรู้ที่แข็งแกร่งได้ตามปกติ...ฉะนั้นยุคนี้เมื่อ “สงครามโรค” ซาลงในปีหน้าปีโน้น เราค่อยกลับมา “โด๊ป” กันใหม่...แผล็บเดียวทุกอย่างก็คงเหมือนเดิม

ขอให้ลูกๆหลานๆเด็กไทยของเราจงมีความขยันหมั่นเพียร มีความตั้งใจใฝ่ศึกษาเถอะลูกเอ๋ย หลานเอ๋ย...โควิดซาเมื่อไรเราได้เรียนกันเต็มที่แน่ๆ กระทรวงศึกษาธิการเขาเตรียมการไว้แล้ว

สำหรับวันนี้รีบไปฉีดวัคซีนตามกำหนดนัดก็แล้วกัน...รวมทั้งเด็กๆที่ยังไม่ได้ฉีด เพราะผู้ปกครองยังไม่ตัดสินใจจะเปลี่ยนใจเสียใหม่ก็ยังทันนะครับ...

ฉีดกันมากๆเพิ่มเปอร์เซ็นต์เป็น 90 หรือเป็น 100 ไปเลย จะได้กลับคืนสู่ “ห้องเรียน” ทันกำหนดเปิดเทอม 2 ในช่วงเดือนพฤศจิกายนตามเป้าที่ตั้งไว้น่ะครับ.

“ซูม”