นับวันยิ่งเป็นที่ประจักษ์ “การเกิดอุบัติเหตุและสาธารณภัย” แต่ละครั้งมักมีความซับซ้อนแนวโน้ม “อันตรายต่ออาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัย” เข้าระงับเหตุที่ต้องตกเป็น “โศกนาฏกรรมรับเคราะห์ร้ายบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต” สร้างความสะเทือนใจให้สังคมกันอยู่บ่อยครั้ง

เฉพาะในปีนี้มี “อาสากู้ภัยเสียชีวิต” ไปแล้วก็ไม่น้อยที่ปรากฏตามหน้าสื่อสารมวลชน ตั้งแต่ไฟไหม้ตึกถล่มบ้านหรู เขตทวีวัฒนา กทม. เหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตโฟมกิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการ และอาสาแห่งหนึ่งใน จ.ราชบุรี ออกช่วยชาวบ้านจับงูจงอางพลาดถูกงูกัดเสียชีวิต
ถ้าจะว่าไปแล้ว “อาชีพอาสากู้ภัย” ก็ถูกจัดเป็นงานกลุ่มเสี่ยงสูง “ไม่มีเงินเดือน รายได้ และสวัสดิการ” แม้แต่ “อุปกรณ์การทำงาน หรือชุดป้องกันบางอย่าง” ยังต้องควักเงินซื้อหาใช้กันเอง แต่ทุกคนก็ล้วน “ทำงานด้วยใจแห่งความเสียสละ” ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการทำงานเพื่อสังคมอยู่เสมอมา...
ยิ่งกว่านั้นในสถานการณ์โควิด-19 ระบาดหนักหนาสาหัส “ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มสูง” ส่งผลให้ “กลุ่มอาสากู้ชีพกู้ภัย” ระดมกำลังกันออกมาสนับสนุนขนย้าย “ผู้ป่วย” เข้าสู่การรักษากักตัวในโรงพยาบาลทุกวัน
...
ทั้งรับหน้าที่ “เก็บร่างผู้เสียชีวิตติดเชื้อโควิด นำร่างไปทำพิธีฌาปนกิจ” แม้ต้องแบกรับความกดดัน ความเสี่ยง แต่ด้วยคำว่า “อาสาสมัคร” ยังคง ทำหน้าที่ช่วยเหลือสังคมโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนเช่นเดิม
นพ.พงศ์ธร เกียรติดำรงวงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ อธิบายว่า ในแง่ทางทฤษฎีแล้ว “อาสากู้ชีพ และอาสากู้ภัย” มีบทบาทความรับผิดชอบต่างกัน แม้แต่ “กฎหมาย” ในการกำกับดูแลก็ยังต่างกัน เช่น “อาสากู้ภัย” อยู่ภายใต้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย

บทบาทหน้าที่ออกช่วยเหลือกู้ภัยให้ผู้ประสบเหตุปลอดภัย เช่นกรณีรถชนมีผู้บาดเจ็บติดในรถ “อาสากู้ภัย” จะพยายามนำออกมาให้ได้ จึงต้อง ผ่านการอบรมกู้ภัย และบรรเทาสาธารณภัยหลักสูตรต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับภัยอันเกิดทางบก ทางน้ำ อัคคีภัย และภัยธรรมชาติ แต่มิได้เน้นช่วยรักษาคนเจ็บโดยตรง
ต่างจาก “อาสากู้ชีพ” ถูกกำกับดูแลด้วยสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กระทรวงสาธารณสุข เน้นช่วยเหลือ “รักษาผู้บาดเจ็บประสบอุบัติเหตุ และผู้ป่วยติดอยู่ในบ้านเรือน” เป็นหลัก
ผู้ปฏิบัติต้องผ่านอบรมตั้งแต่ 16-40 ชม.ฉุกเฉินระดับต้น (EMT-B) ผ่านการอบรม 110 ชม.ฉุกเฉินระดับกลาง (EMT-I) ที่เป็นระดับวิชาชีพต้องศึกษาหลักสูตร 2 ปี ฉุกเฉินระดับสูง (EMT-P) ศึกษาหลักสูตร 4 ปี
แต่ที่สังคมเห็นว่า “อาสา 2 กลุ่มนี้” มักทำหน้าที่เป็นทั้ง “กู้ชีพ และกู้ภัย” สาเหตุเกิดจาก “อาสากู้ภัยบางคน” มีความรู้ความสามารถผ่านการฝึกอบรมกู้ภัยมาแล้วก็เข้าอบรมหลักสูตรเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “เวชกรฉุกเฉินกู้ชีพ” ทำให้มีบทบาทการออกปฏิบัติหน้าที่ทั้งกู้ชีพกู้ภัยควบคู่กันได้ตามมานี้
สิ่งสำคัญในช่วง “โรคระบาดโควิด-19” ที่กลุ่มอาสากู้ชีพกู้ภัยต้องออกมาสนับสนุนนำ “ผู้ป่วยติดเชื้อ” ส่งโรงพยาบาลรักษาตัวนี้อันเป็นภารกิจนอกเหนือบทบาทหน้าที่ที่ไม่อาจทำงานเต็มประสิทธิภาพ กลายเป็นข้อเสียความเสี่ยงไม่ปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติขึ้นเสมอนี้ที่เราก็ไม่ค่อยสนับสนุนมากนัก

เช่นนี้ก็มีคำถามว่า...“อาสากู้ชีพ และอาสากู้ภัยที่ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติหน้าที่มีสวัสดิการช่วยเหลือหรือไม่” เรื่องนี้ตอบได้แบบกว้างหากว่าเป็น “กู้ชีพขึ้นทะเบียน” ต้องได้รับเงินชดเชยตามระบบในกองทุน สพฉ.อยู่แล้ว ส่วน “อาสากู้ภัย” ก็มีสวัสดิการไม่ต่างกันตามที่ ปภ.กำหนดไว้
...
“อนาคตกู้ชีพและกู้ภัยต้องจับมือควบคู่กัน “ปฏิบัติหน้าที่ช่วยผู้ประสบภัย” ไม่อาจแยกทำงานได้ดั่งทุกวันนี้ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถให้มีบุคลากรชำนาญมากยิ่งขึ้น ทั้งพัฒนาส่งเสริมสวัสดิการกรณีพลาดพลั้งจนได้รับบาดเจ็บ หรือสูญเสียจากการปฏิบัติหน้าที่จะต้องได้รับผลประโยชน์ตอบแทนดีขึ้นกว่านี้”
ต้องเข้าใจว่า “อุบัติเหตุอุบัติภัยในโลกปัจจุบัน” มีแนวโน้มซับซ้อนกว่าสมัยอดีต ดังนั้น “กู้ชีพ...กู้ภัย” จำเป็นต้องอัปเกรดความรู้ความสามารถสอดคล้องกับสถานการณ์ในการปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพ เพราะเป็น “อาชีพเสี่ยงอันตราย” ที่ควรต้องกลับมานั่งคิดบทบาทในเรื่องความปลอดภัยสูงสุดด้วยซ้ำ
ฉะนั้นวันนี้คงถึงจุด “เปลี่ยนการพัฒนาศักยภาพกู้ชีพ และกู้ภัย” ด้วยการออกกฎหมายกำหนดดูแลเกี่ยวกับ “กระบวนการสนับสนุนด้านสวัสดิการและสวัสดิภาพ” อันเป็นการตอบแทนให้ได้ “สมน้ำสมเนื้อต่อความเสียสละ” เพื่อให้ครอบครัวเขาได้รับความช่วยเหลือเต็มที่ไม่เดือดร้อน และไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น

...
จริงๆแล้ว “กลุ่มอาสากู้ชีพกู้ภัย” ควรได้รับเข้าเป็น “พนักงานรัฐแบบฟูลไทม์” ด้วยซ้ำ เรื่องนี้เคยพูดคุยผลักดันกันในที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการวุฒิสภาแล้วเกี่ยวกับ “การส่งเสริมสวัสดิการ” เพราะบุคคลกลุ่มนี้จัดว่า “เป็นคนมีคุณค่าต่อสังคม” ยอมเสียสละทุ่มเทแรงใจแรงกายทำงานเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมโดยตรง
เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ง่ายสำหรับ “ประเทศไทย” ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงมักมี “ฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย” ที่นำผลประโยชน์ หรือคนเสียประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องกันอยู่เสมอ แต่ในฐานะ “อาสากู้ชีพกู้ภัย” ทำงานเพื่อสังคมมากมายมานี้ “ภาครัฐ” ได้ให้สิ่งใดที่เป็นคุณประโยชน์ตอบแทนเท่าที่พวกเขาได้ทำประโยชน์ไปหรือไม่?
หนำซ้ำ...“ประเทศไทย” ไม่เคยมีฐานข้อมูลทะเบียน “อาสากู้ชีพกู้ภัย” ที่ถูกจัดไว้แบบกระจัดกระจายส่งผลไม่สามารถติดตามประเมินผลด้านสวัสดิภาพหลังปฏิบัติหน้าที่ได้ เพราะ “อาสา” มักทำงานบนความเสี่ยงต่อ “การรับเชื้อโรค สารเคมีอันตรายต่อสุขภาพ” มีโอกาสเจ็บป่วยภายหลังจากการทำงานได้เสมอ
ตอกย้ำ “ภาครัฐ” กลับไม่รับรู้เชิงระบบในผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่นี้กลายเป็นการผลักภาระให้ “ครอบครัว” รับความเดือดร้อนซ้ำ ควรกลับมาดูแลช่วยเหลือ “กลุ่มอาสาในยามได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่” มิเช่นนั้นก็เป็น “เรื่องที่น่าเสียดาย” สำหรับคนที่ต้องทำงานเพื่อประเทศชาติอยู่นี้

...
ความเห็นส่วนตัวแล้วหากเป็นไปได้ถ้า “ประเทศไทยต้องการโกออนเกี่ยวกับอาสากู้ชีพ...กู้ภัย” ก็ขอเสนอเรื่องค่าตอบแทนแบบ “ไม่ต้องเป็นเงินเดือน” แต่อาจจะให้ “สิทธิประโยชน์ข้าราชการ” ที่จะเป็นแรงจูงใจให้กับ “คนอาสา” ที่เข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติได้มีกำลังใจทำให้แก่ส่วนรวมนี้ต่อไป
อย่างเช่น ตั้งวงเงินสวัสดิการคล้ายข้าราชการไว้ใช้ในยาม “อาสากู้ชีพกู้ภัย” ได้รับบาดเจ็บจากการทำงานจริงๆ เพื่อเข้าดูแลรักษาเยียวยาให้ครอบครัว อันเป็นลักษณะการตั้งวงเงินไว้แต่ไม่ใช้จริงจนกว่า “อาสาบาดเจ็บ” กรณีเหตุสุดวิสัย “เสียชีวิต” ก็อาจเสนอยศตำแหน่งให้เป็นเกียรติยศต่อวงศ์ตระกูลด้วย
อีกทั้งมอบ “เงินช่วยฌาปนกิจและครอบครัว” คล้ายเงินประกันชีวิต สิ่งนี้มีข้อดี “ใช้งบประมาณน้อยกว่าจ้างบุคคลเข้ามาเป็นพนักงานข้าราชการประจำ” เชื่อว่าทำได้ แต่ว่าจะลงมือกันหรือไม่แค่นั้น

หากเปรียบเทียบกับต่างประเทศ “กลุ่มอาสากู้ชีพกู้ภัย” ถือเป็นอาชีพหนึ่งที่มีเงินเดือนประจำ “ไม่ใช่อาสาสมัคร” มีลักษณะแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ประเภทแรก...“ลักษณะเป็นแบบบริษัทเอกชน” ที่มีพนักงานบริษัทปฏิบัติงานมี “หน่วยงานรัฐ” ควบคุมกำกับดูแลจ่ายเงินเดือน เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ
ประเภทที่สอง...“กิจการของรัฐ” มีลักษณะคล้าย “รัฐวิสาหกิจ” มีพนักงานปฏิบัติหน้าที่คอยช่วยเหลือผู้ประสบภัย เช่น ออสเตรีย ประเภทที่สาม...ดำเนินงานแบบหน่วยงานรัฐ 100% เช่น ประเทศญี่ปุ่น ดังนั้น 3 ประเภท มีลักษณะอยู่ภายใต้การกำกับ “หน่วยงานรัฐ” ที่ใช้เงินภาษีดำเนินการค่อนข้างมากด้วยซ้ำ
ฝากไว้ว่า “อาสากู้ชีพกู้ภัย” เป็นระบบงานเสี่ยงการที่ “ภาครัฐ” มีมาตรการบังคับใช้นี้ “มิใช่บีบบังคับกดขี่” แต่เพื่อความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงาน เช่น กำหนดมาตรฐานรถกู้ภัยในการป้องกันอุบัติเหตุออกทำงาน
สุดท้ายในฐานะ “คนไทย” ต้องขอแสดงความขอบคุณ “อาสากู้ชีพกู้ภัย” ที่เป็นส่วนหนึ่งคอยสนับสนุนหน่วยงานรัฐ ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยมากมาย ทำให้ทุกคนมีความปลอดภัยมาจนถึงระดับที่เป็นอยู่นี้ได้
ถ้ามีหลักประกันคอยดูแลช่วยเหลือเยียวยา “คนอาสา” จากการบาดเจ็บล้มป่วย หรือเสียชีวิต ในการทำงานเพื่อสังคมจริงๆ “คนไทย” ไม่น้อยคงยกมือร่วมสนับสนุนเห็นดีเห็นงามแน่นอน.