ดังไปทั่วโลก วัคซีนสลับยี่ห้อ หลังจากทางการไทยได้ประกาศอย่างเป็นทางการให้ฉีดวัคซีน 2 ยี่ห้อสลับกันคือ ซิโนแวค 1 เข็ม ตามด้วยแอสตราเซเนกาอีก 1 เข็ม
ข้อกำหนดมีอยู่ 4 แนวทาง
1.การฉีดวัคซีนสลับชนิด เข็มแรกเป็นซิโนแวค เข็มสองเป็นแอสตราเซเนการะยะห่าง 3-4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์เดลตา (อินเดีย)
2.การฉีดวัคซีนในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันหรือบูสเตอร์โดสเข็มสาม แต่ให้ห่างเข็มสองระยะ 3-4 สัปดาห์ แก่บุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเป็นด่านหน้า
ซึ่งจะใช้แอสตราเซเนกาเป็นหลัก
3.แนวทางการใช้ชุดตรวจเร็วในสถานพยาบาลเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการตรวจเชื้อของประชาชน ไม่ต้องมารอคิว
พูดง่ายๆคือสามารถไปหาซื้อมาตรวจเองได้
ทั้งนี้ จะมีการกำหนดยี่ห้อและหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการได้ทันที โดยมีราคาเป็นตัวกำหนดแต่ละชนิดและคุณภาพ
4.แนวทางการแยกกักตัวที่บ้านและในชุมชนสำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงสามารถแยกกักตัวที่บ้านหรือชุมชนนั้นๆ
ประเด็นหลักๆคงมีอยู่ 2 ข้อ
คือให้ตรวจเองได้ เนื่องจากมีปัญหาสถานที่ตรวจและเครื่องตรวจ ที่ผ่านมานั้นส่วนใหญ่เป็นของรัฐหรือเอกชนที่ได้รับอนุญาต
เพราะต้องการที่จะให้เกิดความปลอดภัยเป็นหลัก
แต่เมื่อสถานการณ์และจำเป็นเปลี่ยนไป เนื่องจากประชาชนต้องการที่จะรู้ว่าติดหรือไม่ติด จึงต้องขวนขวายแห่กันไปตรวจ
ก็เลยเกิดปัญหา เพราะความต้องการสูง
และที่ดังเป็นข่าวไปทั่วโลกก็คือการสลับวัคซีนด้วยเข็มแรกซิโนแวคตามด้วยแอสตราเซเนกา จะทำให้ภูมิคุ้มกันสูงและอยู่ได้นาน
ที่รัฐบาลประกาศใช้อย่างเป็นทางการประเทศแรก
จริงๆแล้วเรื่องนี้ดูเหมือนว่าทางการแพทย์จะมั่นใจมาก เนื่องจากได้มีการทดสอบมาระยะหนึ่งจนพบว่าได้ผลดีจริงๆ
...
ซึ่งก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์อีกระดับหนึ่ง ที่สามารถแก้ไขปัญหาภูมิคุ้มกันทรุดจากวัคซีนบางยี่ห้อ
แต่เมื่อทดสอบแล้วพบว่าสามารถทำได้ก็ยิ่งจะเกิดประโยชน์สูง
ในสถานการณ์แพร่ระบาดอย่างนี้ใครสามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ที่สอดรับกับสถานการณ์ถือว่าเป็น “คุณ” แก่คนทั้งโลก
ยิ่งประเทศไทยเองนั้น นอกจากการแพร่ระบาดที่รุนแรงแล้วยังมีปัญหาการขาดแคลนวัคซีน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
แต่เมื่อสามารถค้นคิดปรับเปลี่ยนคงพอแก้ไขสถานการณ์ได้ระดับหนึ่ง เนื่องจากไทยมีวัคซีนหลักอยู่ 2 ชนิด
คือซิโนแวคและแอสตราเซเนกา
อยู่ที่ว่าจะบริหารจัดการอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ที่สำคัญก็คือต้องประสานแรงและใจจึงจะฝ่ามรสุมนี้ไปได้.
“สายล่อฟ้า”
