จริงตามคาด “เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา”ลุกลามคืบคลานเข้าแพร่ระบาดในหลายจังหวัดของประเทศ ทำให้มีตัวเลขผู้ติดเชื้อคลัสเตอร์ใหญ่ทวีความรุนแรงน่ากลัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ความน่ากลัวสายพันธุ์นี้ “วงการแพทย์” เชื่อในความสามารถกระจายเร็วและป่วยหนักมากกว่าสายพันธุ์อื่น ตอกย้ำด้วยรายงาน “ออสเตรเลีย” เผยข้อมูลแค่เดินผ่านผู้ป่วยเพียงเวลา 5-10 วินาทีก็ติดได้
ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หน.ศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล บอกว่า ตอนนี้การระบาดโควิดในไทยหนักหนาสาหัสมากจาก “ปัญหาคัดกรองเชื้อ” ที่มีข้อจำกัดการตรวจหาเชื้อน้อยมาก โดยเฉพาะ “กรุงเทพฯ ปริมณฑล” ไม่สามารถเพิ่มยอดตรวจได้

อันมีข้อจำกัด “เตียงผู้ป่วยเต็ม” มีผลให้ “ห้องแล็บไม่เปิดตรวจ” จากเงื่อนไขข้อกำหนดว่า “ตรวจเชื้อเจอที่ใดต้องเข้ารักษาตัวที่นั่น” เหตุนี้เมื่อเตียงเต็มก็เปิดตรวจเพิ่มไม่ได้ ทำให้เห็น “สถานพยาบาล” ออกบัตรคิวตรวจวันละร้อยคนตามจำนวนเตียงผู้ป่วยว่าง ดังนั้น สถานการณ์จะหนักขึ้นเรื่อยๆใน 1-2 สัปดาห์นี้อีก
...
อย่าลืมว่า “กรุงเทพฯ” มีผู้ติดเชื้อต่อวันเฉลี่ย 1,600-1,800 ราย ทำให้อัตราผู้ป่วยสะสมสูงจน รพ.ในพื้นที่รับไม่ได้ อีกทั้ง “รพ.สนามก็ไม่มี” เรื่องนี้คงตั้งคำถามไปยังกรุงเทพมหานครเช่นกันว่า “ทำไมไม่มีโรง พยาบาลสนาม”...? ในส่วน “รพ.สนามบุษราคัม” ตั้งใน จ.นนทบุรี ที่ถูกกำกับดูแลจากกระทรวงสาธารณสุข

เหตุนี้จึงมี “ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว” ต้องนอนรักษาตัวอยู่บ้าน เพราะไม่มี รพ.สนามรองรับกักตัว ทำให้ไม่อาจแยกผู้ติดเชื้อออกจากชุมชนได้ ทั้งการกักตัวเองมักมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูง...ยิ่งตอนนี้ “ผู้ติดเชื้อเป็นคนหาเช้ากินค่ำ” ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน กลายเป็นความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างขึ้น จึงมองว่าไม่ใช่วิธีที่ดีมากนัก
ต้องยอมรับว่า “การขาดแคลนเตียงผู้ป่วยหนัก” เข้าวิกฤติมาตั้งแต่เดือน มิ.ย.เป็นอย่างน้อย เพราะไม่อาจขยายเตียงเพิ่มมากกว่านี้ได้ คงเป็นหน้าที่ “ฝ่ายบริหาร” ดำเนินการแก้ไขด่วน ส่วน “รพ.” ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยเท่าที่ทำได้ ถ้าหากเตียงเต็มก็ต้องเลือกรักษาตามหลักบริหารจัดการตามทรัพยากรที่มีอยู่ขณะนี้
เรื่องนี้ต้องสื่อสารถึงประชาชนว่า “การระบาดระลอก 3 หนักรุนแรงมาก” โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ภายใน 1 สัปดาห์มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 77% ทั้งที่ก่อนนี้เคยสำรวจเตียงผู้ป่วยหนักทั้งหมดมีอยู่ 500 กว่าเตียง แต่ตอนนี้รับผู้ป่วยทะลุเกินกว่าจำนวนเตียงที่มีอยู่มาหลายวันแล้วด้วยซ้ำ”ศ.นพ.มานพว่า

จึง “ห้ามติดเชื้อโควิดเด็ดขาด” เพราะตอนนี้การที่เตียงจะว่างลงได้มี 2 ทาง คือ ทางแรก...“ผู้ป่วยหนักดีขึ้น” ย้ายไปพักรักษาต่อ รพ.สนาม และทางที่สอง...“ผู้ป่วยเสียชีวิต” ทำให้เตียงว่างสามารถรับผู้ป่วยหนักรายอื่นเข้ามารักษาได้ เหตุนี้จึงอยากให้ทุกคนป้องกันตัวเองสูงสุด เพื่อไม่ให้ติดเชื้อโรคนี้ได้เด็ดขาด
ที่ว่า “มาตรการลดการนอนโรงพยาบาล 14 วัน หรือ 10 วัน” อันนี้เป็นค่าเฉลี่ยโดยภาพรวมของการรักษา ในการแก้ปัญหาขาดแคลนเตียงให้เกิดการหมุนเวียนรองรับผู้ป่วยได้ที่ไม่อาจสอดคล้อง “การติดเชื้อรายใหม่” ที่มีแนวโน้มสูงกว่าเดิม ดังนั้น “จำนวนเตียงต้องเพิ่มขึ้นตามผู้ป่วย” ไม่ใช่คงมีอยู่เช่นเดิมแบบนี้
...
การแก้ปัญหาขาดแคลนเตียงด้วย “สร้างไอซียูสนามไข้โควิด” เรื่องนี้ทำได้อยู่แล้ว แต่เมื่อถึงจุดนี้ “คนไทย” ยอมรับการดูแลรักษาแย่ลงกว่ามาตรฐานได้หรือไม่ เพราะ “ไอซียูสนาม” ก็ไม่ต่างจาก “สภาวะสงคราม” ตั้งเต็นท์แพทย์สนามขึ้นมาทำให้เครื่องมืออุปกรณ์ไม่อาจเพียงพอเทียบเท่าเตียงไอซียูตามโรงพยาบาล

แล้วไหนยังเจอปัญหา “บุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านไอซียู” มีงานล้นมืออยู่ ทำให้ต้องนำ “แพทย์ พยาบาลไม่เกี่ยวไอซียู” เข้ารับการฝึกอบรมกรณีพิเศษเฉพาะหน้า เพื่อไปดูแลผู้ป่วยโควิดนี้ย่อมมีผลต่อมาตรฐานการรักษาด้อยลดลงไม่ดีเท่าเดิม ส่งผลต่อโอกาสป่วยหนัก และเสียชีวิตสูงกว่าปกติแน่นอน
สิ่งสำคัญ...“ไอซียูสนาม” ไม่อาจเพิ่มขึ้นไปแบบไม่มีที่สิ้นสุดได้ โดยเฉพาะ “บุคลากรทางการแพทย์” ทำงานกันอย่างหนักหน่วงมานานกว่า 3 เดือน แต่ว่า “สถานการณ์โควิดกลับแย่ลงเรื่อยๆ” นับตั้งแต่มี “คลัสเตอร์ทองหล่อ” ในส่วน “ภาครัฐ” ที่ออกมาตรการมานี้กลับไม่สามารถกดตัวเลขการระบาดได้เลย
...
ปกติแล้วถ้า “มาตรการไม่ได้ผล” ต้องยกระดับเพิ่มความเข้มข้นกว่าเดิม แต่ในช่วง 2 เดือนมานี้ “รัฐบาลกลับหย่อนยานมาตรการลง” ฉะนั้นทำนายได้เลยว่า “ไม่มีทางผู้ป่วยรายใหม่จะลดลงได้” แน่นอน
หนำซ้ำ “วัคซีน” ก็ไม่เข้ามาตามคาดมีผลต่อ “ผู้ฉีดน้อยกว่าเป้า 1-2 แสนโดสต่อวัน” ไม่อาจสร้างภูมิคุ้มกันสกัดการระบาดโรคได้ประสิทธิภาพ แต่กลับมี “บางคน” มีความคิดผิดใช้ชีวิตประมาท ไม่ป้องกัน เพราะคิดว่าฉีดวัคซีนแล้วป้องกันได้ แท้จริงแล้วฉีดครบต้องใช้เวลาอีก 3-4 สัปดาห์ที่จะมีภูมิคุ้มกันประสิทธิภาพดี
ตอกย้ำด้วย “สายพันธุ์เดลตา” เริ่มระบาดในชุมชนเขตกรุงเทพฯ คิดเป็น 1 ใน 3 ของพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ...3 ปัจจัยที่กล่าวมาตั้งแต่ “การตรวจคัดกรองได้น้อย ขาดแคลนวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และมีการระบาดโควิดสายพันธุ์ใหม่” ย่อมเป็นตัวเร่งสถานการณ์ระบาดหนักหน่วงมากใน 2-3 สัปดาห์มานี้

ส่วนหนึ่งมองว่า “นโยบายภาครัฐ” วางมาตรการไม่เข้มข้น มีลักษณะสวนทาง “จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น” ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดคิดว่าสถานการณ์ดีขึ้นแล้วใช้ชีวิตประมาทตามมาก็ได้
...
กลับมาดูเรื่อง...“วัคซีน” ที่มีความชัดเจนมากขึ้นว่า “ตอนนี้ประเทศไทยใช้วัคซีนซิโนแวค” เป็นหลักแล้วมีประสิทธิภาพน้อยกว่าชนิดอื่น จากในช่วงแรกระดมฉีดให้ “บุคลากรทางการแพทย์” ที่เป็นกลุ่มผู้มีความเสี่ยงรับเชื้อโควิดสูง ดังนั้นไม่น่าแปลกใจ “แพทย์ พยาบาลติดเชื้อ” เกิดขึ้นให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ
จริงๆแล้ว...“บุคลากรทางการแพทย์ฉีดวัคซีนครบติดเชื้อโควิดเกิดขึ้นตามโรงพยาบาลต่างๆมากมาย” ที่มักไม่เป็นข่าวตามสื่อมวลชนเท่านั้นเอง แต่กรณี “จ.เชียงราย” มีการติดเชื้อพร้อมกัน 41 คน จนปิดให้บริการบางส่วนของโรงพยาบาล เรื่องจึงแดงขึ้นเป็นข่าวให้คนแตกตื่นตามมา
ส่วน “แอสตราเซเนกา” ก็เข้ามาน้อยไม่ตรงตามเป้าที่เพิ่มฉีดให้คนกลุ่มคนสูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว ในจำนวนน้อยมาก และปกติแล้วคนเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่ำอยู่แล้ว โดยเฉพาะ “ผู้สูงอายุ” มักอยู่แต่บ้านไม่ได้ไปพบปะผู้คนทำให้ยังไม่ปรากฏผลรายงานประสิทธิภาพชัดเจนมากเท่าที่ควรในไทย
ย้ำว่า...“ประสิทธิภาพวัคซีน” ถูกพิสูจน์ซ้ำไปซ้ำมาในหลายประเทศหลายกรณีว่า “วัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันดีมีประสิทธิภาพสูงสุด” คือ “วัคซีน mRNA” เช่น ไฟเซอร์ โมเดอร์นา โดยเฉพาะการระบาดสายพันธุ์ใหม่ในไทยนี้จำเป็นต้องมีวัคซีนมีประสิทธิภาพสูงอย่างไฟเซอร์ โมเดอร์นา รองลงมาก็คือวัคซีนแอสตราเซเนกา
ส่วน “ซิโนแวค” เป็นวัคซีนเชื้อตาย จะมีความสามารถกระตุ้นภูมิค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับวัคซีนชนิดอื่น ในส่วนการกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนเข็ม 3 มักมีผลในห้องทดลองเป็นหลัก ในทางทฤษฎี การเปลี่ยนชนิดวัคซีนฉีดเข็ม 3 เช่น ฉีดวัคซีน mRNA มีผลกระตุ้นภูมิคุ้มกันมีประสิทธิภาพสูง แต่ในทางปฏิบัติยังไม่ปรากฏรายงานใดๆ...ฝากไว้ว่า...“คนไทย” ต้องดูแลตัวเองให้ดี เพราะการแพร่ระบาดจะหนักหนาสาหัสไปอีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือน...ที่น่าเห็นตัวเลข “ผู้เสียชีวิต” หลักร้อยต่อวันอันเป็นสิ่งไม่อยากให้เกิดขึ้น
ดังนั้น “วัคซีน” เป็นทางออกสำคัญ “ใครมีโอกาสต้องฉีด” แม้สกัดการระบาดได้ไม่เต็ม 100% ในตอนนี้ แต่ช่วยลดอาการป่วยและเสียชีวิตแน่ๆ...วิธีเดียวที่ทำให้ยอด “ผู้ติดเชื้อโควิดน้อยลงได้” คือ การระดมฉีดวัคซีนประสิทธิภาพให้ได้กว้างมากที่สุด แต่ตอนนี้วัคซีนกลับมีไม่เพียงพอ
บวกกับมาตรการไม่ได้เข้มข้น เช่นนี้แล้วย่อมไม่อาจทำให้ “ผู้ป่วย” ลดลงได้...ยิ่ง “วัคซีน” มาช้าเท่าใด “คนไทย” ยิ่งจะเห็น “ผู้ป่วยโควิด” เสียชีวิตรายวันเพิ่มทวีคูณไปเรื่อยๆ.
