มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด–19 ด้วยแคมเปญ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ออกนอกบ้านเฉพาะที่จำเป็น ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้บริษัทเริ่มอนุญาตให้พนักงาน ลูกจ้าง ทำงานที่บ้าน (Work From Home) รักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อลดความแออัดกระจายเชื้อในที่ทำงาน และที่สาธารณะ
ที่ซึ่งเป็นหนทางสกัดกั้นกระจายเชื้อโรคได้อย่างตรงจุด ในการลดความเสี่ยง ควบคุม และเฝ้าระวังการติดเชื้อโรคนี้...ทำให้คนที่ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตใหม่ อาจรู้สึกอึดอัด แต่ก็มีบางคนเลือกที่จะเก็บตัวอยู่บ้าน เพื่อความปลอดภัยมากกว่าการออกไปนอกบ้าน
วิถีปรับตัวสู้ภัยโควิด-19 เพื่อมีชีวิตรอดต่อไปได้นี้ “ทีมสกู๊ปหน้า 1” มีโอกาสพูดคุยกับ “รินทร์” พนักงานสาวการตลาดของบริษัทเอกชน ที่เป็นหนึ่ง ใน “กลุ่มคนชอบเที่ยว ช็อปปิ้งตัวยง” ยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเว้นระยะห่างทางสังคมชั่วคราว ด้วยการเก็บตัวอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ลดความเสี่ยง การติดเชื้อครั้งนี้ เล่าว่า...
ตอนนี้ผู้ติดเชื้อรายใหม่คงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นรายวัน ไม่ต่ำกว่าร้อยราย มีผู้เสียชีวิต 1 รายต่อวัน ปัญหานี้มีทางออกแก้ไขได้ หากทุกคนปรับตัวตามนโยบายภาครัฐ แยกตัวเว้นระยะห่างทางสังคม หรืออยู่บ้านจริงจัง ที่มีความสำคัญ อย่างยิ่งยวด ในการช่วยลดความเสี่ยงดีที่สุด

...
กระทั่งกลาง มี.ค. 2563... “บริษัท” เริ่มใช้ Work From Home ให้พนักงานเคลียร์งานไปทำที่บ้าน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายดีขึ้น เพื่อลดความแออัดโอกาสแพร่เชื้อ ในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม
ยกเว้นฝ่ายบริการลูกค้า ต้องสลับเปลี่ยนทำงานในออฟฟิศ 5 วัน มีสิทธิ์หยุด 5 วัน แต่ก็มีมาตรการป้องกันสูงสุด ด้วยการใส่ชุดป้องกันเชื้อไวรัส “พีพีอี” ในการลดความเสี่ยงระหว่างปฏิบัติหน้าที่นี้
ส่วนตัวแล้ว...ได้เตรียมพร้อม “อยู่บ้านเพื่อชาติ” มาตั้งแต่เชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาดในประเทศไทยช่วงแรกๆ ซึ่งได้จัดหาซื้อของใช้ส่วนตัว และของจำเป็น อาทิ ข้าวสาร เนื้อสด ปลาสดแช่แข็ง รวมถึงอาหารสำเร็จรูป และสินค้าอื่น เช่น สบู่เหลว กระดาษทิชชู เข้าสู่ Work From Home ราว 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้
และย้ายตัวเองออกมาพักคอนโดมิเนียมเพียงลำพัง ที่ได้ซื้อเก็บไว้นานแล้ว สาเหตุเพราะทำงานฝ่ายขาย ต้องออกบ้านพบปะกับลูกค้าบ่อยๆ จนมีความรู้ว่า...อาจเป็นการนำ “เชื้อไวรัส” จากภายนอกเข้ามาสู่คนในครอบครัว ที่มีคุณพ่อ และคุณแม่ ต่างก็มีอายุมากแล้ว
ทว่า...เรื่องพบปะกับสังสรรค์ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงนั้น คงต้องเว้นระยะห่างกันชั่วคราวร้อยเปอร์เซ็นต์ ในการใช้ชีวิตช่วงนี้คงต้องอยู่ที่ห้องคอนโดฯ เป็นหลัก แต่ก็มีบางวันแวะเวียนกลับไปบ้านดูแลคุณพ่อและคุณแม่เป็นบางครั้งบางคราว กลายเป็นตอนนี้รู้สึก “หงอยเหงา” เพราะชีวิตไม่มีรสชาติ ขาดสีสันหลายอย่างไป
“เพราะเคยนัดเพื่อนปาร์ตี้ หรือนัดกินข้าวทุกสัปดาห์ ในช่วงนี้สีสันนั้นก็หายไป ต้องอยู่ห้องเจอมุมเดิม สิ่งของเดิม ตื่นนอนมาก็สั่งข้าวกิน นั่งดูโทรทัศน์ก็สั่งมากิน เมื่อเหนื่อยก็นอน และตื่นมากินต่ออีก กลายเป็นติด “ซีรีส์เกาหลี” นั่งดูทั้งวันทั้งคืน ในช่วงแรกชีวิตวนเวียนอยู่กับกิน นอน ดูทีวี และโทรศัพท์ จนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น” รินทร์ว่า
จนต้องเริ่มปรับตัว...ทำให้ชีวิตมีกิจกรรม “แก้เบื่อ” ด้วยการเพิ่มสีสัน เปลี่ยนพฤติกรรมอยู่ในโลกความจริง ที่คิดแง่ “มุมบวก” เมื่อมีโอกาสอยู่คอนโดฯ ที่ไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาทำความสะอาด ก็ถือโอกาสนี้ได้เวลาทำความสะอาด และจัดโต๊ะ ทีละเล็ก...ทีละน้อย ในการปรับเปลี่ยนโฉมห้องใหม่
เมื่อถึงช่วงสายๆ...จะเป็นเวลาความบันเทิง พักผ่อนดูหนัง ฟังเพลง โดยเฉพาะหนังซีรีส์ หรือบางครั้งก็ลองฝึกทำอาหาร ขนมคุกกี้ เพื่อประหยัดที่มีความปลอดภัย ไม่ต้องออกไปหาซื้ออาหารกินนอกบ้าน เพราะอาจต้องเจอกับคนจำนวนมาก ทำให้มีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสเกิดขึ้นได้
พอตกเย็น...คือ เวลาออกกำลังกาย ในการยืดเส้นยืดสาย เพราะมีอุปกรณ์ฟิตเนสซื้อไว้นานแล้ว ทำให้เปลี่ยนเป็นห้องออกกำลังกายส่วนตัว มีเทรนเนอร์ฟิตเนส จากการเปิดดูยูทูบเลือกคลิปออกกำลังกายตามใจชอบ
หากวันใด...“เบื่อหน่ายเหงาหงอยมาก” ใช้วิธีโทรศัพท์คุยกับเพื่อนๆ หรือคุยกันทางไลน์ผ่านวิดีโอคอลที่เห็นหน้ากัน ไม่ต้องออกจากบ้านใน บางวัน...ก็ใช้วิธีนี้ “จัดปาร์ตี้” อยู่ห้องของใครห้องของมัน ผ่านวิดีโอคอลนี้ ที่สามารถ “ชนแก้ว” เม้าท์มอยพูดคุยกันได้เช่นเดิม ไม่ต้องสัมผัสใกล้ชิด กันได้ด้วยซ้ำ...
ในการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยผ่อนคลายความเหงาหงอย แม้บรรยากาศไม่เหมือนออกไปนั่งดื่มในร้านก็ตาม แต่ก็ดีกว่าไม่มีเพื่อนนั่งคุยกันเลย ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่ไม่ต้องออกนอกบ้าน ไปรับความเสี่ยงติดโรคร้ายนี้
ดังนั้น ต้องปรับตัวให้มีความสุข ไม่ให้เกิดความเครียด เพื่อให้อยู่ กับสถานการณ์นี้ให้ได้

...
หากจำเป็นต้องไปพบเจอลูกค้า...“จะขอใช้เวลาเผชิญกับผู้คนให้น้อยที่สุด” เมื่อกลับห้องพักต้องรีบอาบน้ำเปลี่ยนชุด และซักเสื้อผ้าชุดใส่แล้วทันที เพราะไม่รู้ว่า...ในช่วงออกนอกห้องพักนั้น ได้สัมผัสเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือไม่ ทำให้ป้องกันไว้ก่อน ส่วนสิ่งของนำติดตัวไปด้วย ต้องฉีดพ่นด้วยสเปรย์แอลกอฮอล์ทั้งหมดเช่นกัน
ยอมรับว่า...“ชีวิตเกิดมานี้” ยังไม่เคยเผชิญเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้มาก่อน แต่ก็โชคดี...ในการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินครั้งนี้ ยังพอมีความเป็นอิสระ เพราะ “รัฐบาล” ไม่ได้เคร่งครัดจำกัดสิทธิ์อะไรมากมาย ส่วนใหญ่เป็นการขอความร่วมมือให้ประชาชนอยู่ในบ้าน เพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 เท่านั้น
ความจริงแล้ว...“อยู่ในบ้าน” ก็ไม่ใช่ว่า...จะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ หากเป็นไปได้ควรล้างมือบ่อยครั้งที่สุด เพื่อลดการรับและแพร่เชื้อ ถ้าไม่มีน้ำและสบู่ ให้ลูบมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ความเข้มข้นอย่างน้อย 70% อาจรับประทานอาหารร่วมกันได้ แต่ต้องใช้ช้อนกลาง ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน
เช่นเดียวกับ “ปอเต้” พนักงานฝ่ายขาย บริษัทเอกชน ที่ต้อง Work From Home เล่าว่า ส่วนตัวการทำงานที่บ้านเกิดขึ้นบ่อยอยู่แล้ว ทำให้ไม่ได้เตรียมอะไรเป็นพิเศษ เพราะตอนนี้รัฐบาล...เป็นการขอความร่วมมือ ไม่ให้ออกนอกบ้าน ที่ยังไปตลาดซื้อข้าวของตามปกติได้ ยกเว้นมีมาตรการห้ามเด็ดขาด อาจเกิดปัญหาขึ้นแน่

...
ส่วนพื้นที่ทำงาน Work From Home ได้จัดห้องเฉพาะภายในบ้าน เพื่อการประชุมผ่านวิดีโอคอล หรือการประสานงานกับฝ่ายอื่น ที่ต้องมีความ สงบเงียบพอสมควร ด้านอาหารการกิน...ไม่ได้เตรียมอะไรมาก เพราะที่บ้าน ปลูกผักสวนครัวไว้กินเอง ยกเว้นสิ่งของที่ผลิตเองไม่ได้ เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ อาจต้องซื้อมาเก็บไว้มากกว่าปกติ
สิ่งสำคัญ...สถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ยังคงมีแนวโน้มลุกลามรุนแรงเพิ่มมากขึ้น มีผู้ติดเชื้อไวรัสมากขึ้น อีกทั้งยังคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ราย ทำให้ต้องพยายามลดการออกจากบ้านให้ได้มากที่สุด ซึ่งครอบครัวก็ไม่มีปัญหาในเรื่องที่ไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านอะไร...
แต่ชีวิตทำงานอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง...เพราะด้วยความที่เป็นพนักงานฝ่ายขายสินค้า ต้องออกไปพบลูกค้าบ่อยๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้ลูกค้าไว้ใจ หรือพอใจ เมื่อไม่ได้ออกจากบ้านไปหาลูกค้า ก็ใช้เทคโนโลยีติดต่อสื่อสารแทน ทั้งการโทรศัพท์ สร้างกลุ่มไลน์ ซึ่งลูกค้าก็เข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ดี

จริงๆ...“การอยู่ที่บ้าน เพื่อชาติ” ที่ต้องทำงาน Work From Home แทบไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว หรือเกิดความเหงาเลย เพราะตลอดทั้งวัน ยังต้องทำงานหลายอย่างเหมือนเดิม...อีกทั้งทำงานที่บ้านอาจต้องกระตือรือร้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทั้งเอกสาร การประสานงานกับฝ่ายอื่น ที่ไม่มีความสะดวกครบพร้อมเหมือนออฟฟิศ
...
ส่วนวันเสาร์–อาทิตย์...เคยขับรถท่องเที่ยว คงหยุดพักชั่วคราว นำช่วงเวลานี้มาทำกิจกรรมปลูกผักสวนครัวเพิ่มขึ้น เช่น ต้นกะเพรา ผักบุ้ง ต้นหอม พริก คะน้า แถมมีเวลาออกกำลังกายมากกว่าเดิม...
ถ้าจำเป็นออกจากบ้าน จะเลือกช่วงเวลาที่คนไม่ออกกัน เช่น คนนิยม ไปตลาดตอนเช้า เราก็ไปตลาดตอนสาย เพื่อลดความแออัดที่ไปเจอคนมากมาย หรือใช้วิธีการสั่งอาหาร หรือสินค้าแบบดีลิเวอรี แม้ต้องเสียค่าบริการเพิ่มขึ้นบ้าง ก็ต้องยอม ในการลดโอกาสออกจากบ้าน ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 มาสู่ครอบครัว...
เว้นระยะห่างทางสังคม “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” คือสิ่งสำคัญ ที่ช่วยสกัดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ ไม่ให้ติดต่อได้ ถ้าคนไม่ติดต่อกัน...