ซุ่มเงียบคลี่คลายคดีการหายตัวไปของ นายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ มานานสองนาน เปิดมาต้องฮือฮาหน่อย?แต่งานนี้ดูจากพยานหลักฐานที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยต่อสาธารณชน ประกอบด้วยหลักฐานสำคัญคือ ชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะข้างซ้าย เป็นส่วนกระดูกสำคัญที่แพทย์ระบุว่า...ถ้าพบชิ้นส่วนกระดูกส่วนนี้แสดงว่าบุคคลผู้นั้นเสียชีวิตแล้ว!แต่การตรวจไมโทคอนเดรียเพื่อยืนยันว่า กะโหลกที่พบเป็นของนายบิลลี่นี่สิหนักหนาสาหัสกว่า เพราะถึงแม้ไมโทคอนเดรียจะมีดีเอ็นเออยู่จริงแต่เป็นดีเอ็นเอเฉพาะสายพันธุ์ที่มาจากทางมารดาเท่านั้นดีเอสไอถึงรีบส่งให้ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ตรวจเปรียบเทียบไมโทคอนเดรียกะโหลกที่พบกับ นางโพเราะจี รักจงเจริญ แม่ของนายบิลลี่ผลปรากฏว่าดีเอ็นเอในไมโทคอนเดรียตรงกัน...แต่เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่และไม่สามารถระบุได้แน่ชัดเหมือนการตรวจดีเอ็นเอทั่วไป ระบุได้เพียงว่าเกี่ยวกันทางสายเลือดมารดา ศาลยังไม่ยอมรับว่าเป็นหลักฐานยืนยันตัวบุคคลได้ดีเอสไอจึงไปตรวจข้อมูลครอบครัวของ “บิลลี่” เพิ่มเติม จนพบว่าพี่น้องท้องเดียวกับบิลลี่ทุกคนที่มีไมโทคอนเดรียเหมือนกัน ยังไม่มีใครเสียชีวิตทำให้อนุมานได้ว่า เจ้าของกะโหลกที่พบคือนายบิลลี่แน่นอน...นั่นเป็นเหตุผลให้คู่กรณี นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ (สบอ.) 9 อุบลราชธานี อดีต หัวหน้าอุทยานแก่งกระจาน หัวหน้าชุดจับกุมนายบิลลี่เมื่อวันที่ 17 เม.ย.2557 ข้อหามีน้ำผึ้งป่า และอ้างว่าปล่อยตัวไปแล้ววันถัดมา หลังจากนั้นไม่มีใครพบนายบิลลี่อีกเลยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการตรวจไมโทคอนเดรียว่า “การตรวจโดยวิธีไมโทคอนเดรีย ใช้วงเลือดมาพิสูจน์อย่างเดียวว่า กระดูกชิ้นนั้นเป็นของบิลลี่ ผมว่ามันไม่น่าจะพอสรุปออกมาแบบนี้”ถ้าดีเอสไอมีหลักฐานระบุว่า นายบิลลี่ตายแล้วแค่นี้ ต้องเหนื่อยตอนถูกซักฟอกในศาลแน่นอน?แต่แว่วมาว่า นอกจากไมโทคอนเดรียที่แบไต๋ล่อเป้าออกมาแล้ว ดีเอสไอยังมีทีเด็ดอุบอยู่ ต้องรอดูฉากต่อไปว่ามันคืออะไร?"สหบาท"