ย้อนหลังไปราว 10 ปี มะละกอในประเทศไทย นอกจากประสบปัญหาใหญ่อย่างโรคไวรัสจุดวงแหวนแล้ว ยังพบในเรื่องความไม่นิ่งของสายพันธุ์ และมีการปนเปื้อน GMOs ส่งผลให้ผลผลิตที่ออกสู่ตลาดมีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ ไม่ได้มาตรฐาน...ที่สำคัญผลผลิตที่ดีมีคุณภาพไม่เพียงพอต่อความต้องการปี 2553 ทีมวิจัยของภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน นำโดย ผศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ไทยพงษ์ ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ...ให้หาสายพันธุ์ตอบโจทย์ในเรื่องของสายพันธุ์ที่นิ่ง คุณภาพเหมาะสมทั้งบริโภคสุก ทำส้มตำ การแปรรูป และปลอด GMOsจึงได้รวบรวมพันธุ์มะละกอจากทั้งในและต่างประเทศรวมกว่า 80 สายพันธุ์ มาผสมข้ามสายพันธุ์จนได้สายพันธุ์ที่นิ่ง คุณภาพผลเหมาะสมตามต้องการ ในปี 2558 พร้อมกับทดลองเพาะเลี้ยงเรื่อยมา กระทั่งได้ขึ้นทะเบียนพันธุ์ในชื่อ “แขกดำเกษตร” เมื่อ 12 มิ.ย.2560เป็นพันธุ์ที่ให้น้ำหนักผลประมาณ 1.5 กก. ระยะผลดิบเนื้อขาว กรอบ หวาน ระยะสุกเนื้อแดง แน่น ไม่เละ หอมหวาน สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลาก หลายมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก นอกจากมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างแคโรทีนอยด์แล้ว ยังมีวิตามินซีสูงกว่าส้ม 2 เท่า ทำให้บริโภคผลสุกแค่วันละ 100 กรัม ก็เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินซีในปริมาณที่ต้องการในแต่ละวันแล้ว ที่สำคัญยังมีไลโคปีนเท่ากับมะเขือเทศอีกด้วยเหมาะกับการปลูกในระยะ 2.5 × 2.5 เมตร ปลูกได้ไร่ละ 250 ต้น สามารถให้ผลผลิตได้เฉลี่ยไม่น้อยกว่าไร่ละ 8 ตัน/ปี ที่สำคัญเกษตรกรสามารถเก็บเมล็ดมาปลูกต่อได้ส่วนเรื่องอื่นๆมีลักษณะเดียวกับมะละกอแขกดำทั่วไป...โดยเฉพาะโรคที่ยังคงต้องระวังกับไวรัสด่างวงแหวนอยู่ เพราะปัจจุบันยังไม่มีพันธุ์ใดในโลกต้านทานไวรัสนี้ได้.