รางวัลทรงเกียรติของนักประพันธ์ไทย “นราธิปฯ” ประจำปี พ.ศ.2560 สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย มอบรางวัลไปแล้ว เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2561 ณ หอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร

ปีนี้ นักประพันธ์ที่ได้รับรางวัลมีถึง 19 คน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ และเอื้อประโยชน์ให้กับแวดวงวรรณกรรม การเขียน การวิจารณ์ และการอ่านเป็นอย่างสูง

ชื่อรางวัล “นราธิปฯ” มาจากพระนาม พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ พระนามเดิมคือ “หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ” โอรสพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ในรัชกาลที่ 4 ประสูติเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2434 พระองค์เป็นทั้งนักการศึกษา นักการทูต และนักประพันธ์ ทรงออกหนังสือพิมพ์ประชาชาติ และนิพนธ์ วิทยาวรรณกรรม

พระนิพนธ์วิทยาวรรณกรรม ทรงนิพนธ์ระหว่าง พ.ศ.2477-2478 เนื้อหาว่าด้วยทรรศนะต่อวรรณคดี เสมือนรวมศาสตร์เกี่ยวกับวรรณคดีไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นด้านปรัชญา วรรณศิลป์ การใช้สัญลักษณ์ รสนิยมการอ่านวรรณคดี และบทบาทหน้าที่ของวรรณคดี นับเป็นต้นธารด้านวิชาการสายหนึ่งของ “วรรณกรรมไทย”

เมื่อปี พ.ศ.2544 เป็นปีที่สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ครบการก่อตั้งปีที่ 30 ในปีเดียวกันนั้น ศ.พล.ต.พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์ ครบรอบ 110 พรรษา และยัง ครบ 10 ปี ที่ “ยูเนสโก” ประกาศยกย่องพระองค์เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในฐานะผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรม สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยสมัยนั้น นายประภัสสร เสวิกุล ได้ดำริตั้งรางวัล “นราธิปพงศ์ประพันธ์” ขึ้นมา แต่มักเรียกกันติดปากว่า “รางวัลนราธิปฯ”

เงื่อนไขของการมอบรางวัลนราธิปฯ คือมอบแด่นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ กวี นักแปล และบรรณาธิการ ที่สร้างสรรค์ผลงานทรงคุณค่าต่อสังคม และทำอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน อีกทั้งได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง และมีเงื่อนไขว่า นักเขียนผู้ได้รับรางวัลนั้น จะต้องมีอายุ 80 ปีขึ้นไป

...

ปี พ.ศ.2560 ที่ผ่านมา นักเขียนที่ได้รับรางวัลมีถึง 19 คน ได้แก่ 1.นางกรองแก้ว เจริญสุข, 2.ศ.กิตติคุณ ดร.กาญจนา นาคสกุล, 3.ผศ.กิติยวดี บุญซื่อ, 4.ศ.ดร.เจตนา นาควัชระ, 5.นายเฉลิม รามโกมุท, 6.นางประพิศ คุณาวุฒิ, 7.ศ.ดร.พงษ์ศรี เลขะวัฒนะ, 8.นายพยงค์ คชาลัย, 9.ศ.ดร.มัทนี รัตนิน, 10.พล.ต.ต.โรจนา นาเจริญ, 11.นพ.วราวุธ สุมาวงศ์ (ครูวราห์ วรเวช), 12.ม.ล.วัลลภ นวรัตน์, 13.ศ.วาสนา ชลศึกษ์ เคนแมน (นายา), 14.นายวินิจฉัย แสงสว่างวัฒนะ, 15.ศ.วิภา กงกะนันทน์, 16.ผศ.ศรีสมร คงพันธุ์, 17.ศาสตราจารย์เกียรติคุณศรีสุรางค์ พูลทรัพย์, 18.รศ.สดใส พันธุมโกมล และ 19.นางสุดจิต ภิญโญยิ่ง

เนื่องจากเงื่อนไขที่กำหนดว่า นักเขียนที่ได้รับรางวัลจะต้องมีอายุ 80 ปีขึ้นไป ทำให้นักเขียนบางนามไม่สามารถเข้ามาร่วมงานได้ บางคนอยู่ระหว่างเจ็บป่วย บางคนสภาพร่างกายร่วงโรยไปตามวัย บางคนก็เดินไม่สะดวก

เรื่องอายุผู้ได้รับรางวัล ศ.ดร.เจตนา หนึ่งในผู้ได้รับรางวัล ตอบคำถามประเด็นนี้ว่า “บางท่านคงมาไม่ไหว เงื่อนไขตรงอายุ 80 ปี ผมว่าสูงไปนิดหนึ่งนะ อย่างวันนี้บางคนก็ต้องส่งลูกหลานเข้ามารับแทน ผมว่าเหมาะๆ ก็อาจจะเป็น 72 อะไรอย่างนี้ นับรอบปีที่พอเหมาะพอดี ผมโชคดีที่ยังเดินไหว แต่มันก็ไม่ใช่ทุกคน”

ส่วนคุณค่าของรางวัล “การที่ได้พระนามของเสด็จในกรมมาตั้งรางวัลเป็นเกียรติอย่างสูง ท่านเป็นบุคคลตัวอย่างที่เป็นนักวิชาการและนักคิด มีบทบาทในเรื่องของการเมืองระดับประเทศ นานาชาติ เราในฐานะนักคิดนักเขียนถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูง ที่พระญาติอนุญาตให้นำพระนามมาใช้ได้”

ครั้นถามถึงแวดวงวิจารณ์วรรณกรรม นักวิจารณ์วรรณกรรมที่หลายคนถือเป็นต้นแบบบอกว่า “อาจเพราะว่าไปทำงานที่เป็นวิชาการมากเกินไป พวกที่เป็นครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมุ่งทำงานวิชาการมากเกินไป อาจจะเป็นเรื่องเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการอะไรทำนองนี้ ผมว่าอีกอย่างก็พูดยาก ผมเองก็ไม่ค่อยได้เขียนทางนี้มากแล้ว หันไปเขียนทางดนตรีและละครมากขึ้น มันคึกคักกว่า”

แล้วทำไมวงวรรณวิจารณ์และวรรณกรรมไม่ค่อยคึกคัก ทั้งๆที่สื่อ ก็มีมากมาย “ผมคิดว่า ตัวงานวรรณกรรมจะเป็นตัวดึงดูดให้คนวิจารณ์อย่างยุคที่ตัวงานสะท้อนปัญหาหลักของบ้านเมือง นักเขียนออกมาตีปัญหาเหล่านั้นถึงใจคน นักวิจารณ์จะนั่งเฉยๆไม่ได้ จะต้องพูดอะไรบางอย่าง ตราบใดที่นักเขียนหลบใน เพราะว่าเขียนเรื่องส่วนตัว เรื่องอะไรอื่นๆ แต่ไม่ได้หมายความว่า สิ่งเหล่านั้นไม่มีค่า แต่ว่ามันอาจจะมีผลกระทบต่อสังคมน้อยลง ความสนใจก็ลดลงไปด้วย”

ศ.ดร.เจตนามองว่า “ยุคทองของวรรณกรรม ผมว่าอยู่หลัง พ.ศ.2520 หรือหลัง 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ราว 10 ปี ผมว่าหลัง 6 ตุลาฯเป็นยุคทองของทุกอย่าง เพราะคนมันตื่นตัว ยุคนี้สื่อมากก็จริง แต่เงียบ”

ทั้งๆที่เป็นยุคการสื่อทันสมัย รวดเร็ว แล้วทำไมวงวรรณกรรมถึงเงียบเหงา “พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ความเซ็งเข้ามาครอบงำทุกๆด้าน เซ็งกับบ้านเมืองด้วย เพราะเราอาจจะไปให้ความหวังว่าจะมีคนมากู้บ้านเมือง เขากู้ไม่สำเร็จเรือก็รั่ว” ศ.ดร.เจตนาบอก

ด้าน ศ.วิภา กงกะนันทน์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หนึ่งในผู้รับรางวัล แสดงทรรศนะต่อการสร้างคนสู่วงวรรณกรรมว่า “มหาวิทยาลัยศิลปากรที่ดิฉันรู้จักในระยะนั้นให้ความสำคัญแก่วิชาภาษาไทยเป็นพิเศษ เพราะถือว่าผู้ที่รู้ภาษาแม่และเป็นภาษาประจำชาติด้วยอย่างดี การใช้ภาษาเป็นจะสามารถหาความรู้ในวิทยาการสาขาต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถใช้ความรู้นั้นได้อย่างมีประโยชน์ ปรัชญาของคณะอักษรศาสตร์ที่ดิฉันรับมาเป็นแนวทางในการสอนคือ เสริมสร้างบุคลิกภาพของนักศึกษาให้เป็นผู้มีความสุขในสังคมอารยะ และเมื่อมีความทุกข์ก็จะรู้จักคิดหาทางที่จะปรับปรุงตนเองและสังคมนั้นด้วยวิธีการของอารยชน นักศึกษาอักษรศาสตร์จะได้รับ”

...

การฝึกฝนให้เป็นผู้ที่คิดเป็น อ่านเป็น พูดเป็น และเขียนเป็น “ไม่ว่าจะศึกษาวิชาใดเป็นวิชาเอกก็ตาม คณะอักษรศาสตร์ที่มีดิฉันเป็นอาจารย์รุ่นแรกคนหนึ่งซึ่งสอนวิชาการใช้ภาษา คืออ่านเขียนพูดนั้นมิได้มีนโยบายผลิตบัณฑิตในวิชาชีพสาขาใดโดยเฉพาะ ฉันเห็นว่าการมุ่งสอนเยาวชนให้รู้จักคิด รู้จักพูด รู้จักเขียน และรู้จักการวางตัวให้ถูกกาลเทศะเป็นการพัฒนาบุคลิกภาพ สติปัญญาของคนคนนี้ เป็นบุคคลที่มีประโยชน์รู้จักหาความสุขความเจริญให้ตนเอง โดยไม่เบียดเบียนผู้อื่นไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดก็ตาม”

และ “ดิฉันเข้าใจว่า อักษรศาสตรบัณฑิตตามปรัชญานี้ จะรู้ว่าตนควรประกอบอาชีพอะไร รู้จักตนว่าดีหรือด้อยด้านใด และรู้ว่าควรศึกษาเพิ่มเติมอยู่เสมอ เพื่อให้การประกอบอาชีพมีความเจริญ สมกับค่าของความเป็นอักษรศาสตรบัณฑิตของมหาวิทยาลัยศิลปากร”

และเน้นว่า “ดิฉันเห็นว่า สถาบันที่เสริมสร้างคนให้มีคุณสมบัติเช่นนี้ได้คือแดน “วิศิษฏ์” คำว่า วิศิษฏ์ นี้ นักอักษรศาสตร์ทุกคนย่อมทราบคำแปลอยู่แล้ว คือ เลิศ ยอดเยี่ยม ดียิ่ง และประเสริฐ แต่ชีวิตและสรรพสิ่งทั้งหลายย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คณะอักษรศาสตร์มหาวิทยาลัยศิลปากร ก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลง”

รางวัลนราธิปฯปี 2560 กนกวลี พจนปกรณ์ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย แสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัล และบอกว่า มอบรางวัลนี้เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติแด่คนทำงานแวดวงเดียวกัน และบุคคลทั่วไปได้รับรู้ ได้จดจำ และรำลึกถึงผลงานอันเป็นประโยชน์ยิ่งของท่าน

สำหรับประเด็นเรื่อง “เกณฑ์ของรางวัลในปีนี้ มีหลายๆท่านที่เอ่ยถึงเรื่องอายุผู้ได้รับรางวัลที่ตั้งไว้ 80 ปีว่าสูงไป สมาคมนักเขียนฯขอรับไว้พิจารณาด้วยความเคารพ และขอบคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ เราจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมของสมาคมนักเขียนฯ แล้วพิจารณากันนะคะ”

...

จากน้ำเสียงของผู้ตั้งข้อสังเกตและนายกสมาคมนักเขียนฯ คล้ายมีสัญญาณว่า เงื่อนไขอายุนักเขียนรางวัลนราธิปฯ มีโอกาสเปลี่ยนแปลง.