แม้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะถูกการเมืองกดดันให้ลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสนองนโยบายหาเสียงของนักการเมืองมาสองปีกว่า แต่ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ก็ยึดมั่นในหลักการธนาคารกลางไม่ยอมอ่อนข้อให้นักการเมือง ทำให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้รับรางวัล “ธนาคารกลางแห่งปี 2025 Central Bank of the Year 2025” จาก Central Bank Publications ในการประชุมผู้ว่าการธนาคารกลางฤดูร้อนประจำปี  2025  ที่กรุงลอนดอน  สหราชอาณาจักร สัปดาห์ที่แล้ว ในฐานะ ธนาคารกลางที่มีผลงานโดดเด่นด้านการดำเนินนโยบายการเงิน การกำกับดูแลทางการเงิน และการบริหารจัดการองค์กรในระดับสากล ผมขอแสดงความชื่นชมไว้ตรงนี้

“ผู้ว่าการนก” ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ  ได้พูดถึงรางวัล “ธนาคารกลางแห่งปี 2025” ว่า สะท้อนถึงความพยายามของ ธปท.ในการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงินของประเทศ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น และเศรษฐกิจภายในที่เผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้าง รวมถึงแรงกดดันทางการเมือง  โดย ธปท.ยังสามารถรักษาสมดุลระหว่างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการพัฒนาระบบการเงิน ให้พร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.เศรษฐพุฒิ  ยังได้กล่าวสุนทรพจน์เรื่อง “อนาคตของเงิน  (The Future of Money)”  ในที่ประชุม Central Banking Summer Meeting ประจำปี 2025 ที่กรุงลอนดอน ว่า “หน้าที่ของเงิน” มี 3 อย่าง คือ 1.เป็นหน่วยวัดมูลค่า  (Unit of Account–UOA) 2.เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน (Means of Payment–MOP) 3.เป็นกลไกในการโอนสื่อกลางในการชำระเงินและการชำระธุรกรรมให้เสร็จสมบูรณ์  แต่สิ่งที่เป็นรากฐานและสำคัญยิ่งกว่าก็คือ “ความน่าเชื่อถือ (Trust)” ดังคำกล่าวที่ว่า “เงินทำให้โลกหมุนได้ แต่ความน่าเชื่อถือคือสิ่งที่ทำให้เงินหมุนเวียนได้ (Money makes the world go round,but trust is what makes money go round)” การสร้างและรักษาความเชื่อมั่นไม่ใช่เรื่องง่าย  ต้องอาศัยโครงสร้างเชิงสถาบันที่เข้มแข็ง ธนาคารกลาง รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินและระบบการชำระเงินถือเป็นเสาหลักสำคัญของโครงการนี้

...

ดร.เศรษฐพุฒิ  ได้พูดถึง การพัฒนารูปแบบของเงิน  อย่างต่อเนื่องว่าต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอไป บั่นทอนหรือทำลายองค์ประกอบพื้นฐานที่ทำให้เงินทำหน้าที่ได้ดี สิ่งบางประเภทที่ถูกเสนอให้เป็นเงินรูปแบบใหม่ ควรได้รับการประเมินอย่างรอบด้านภายใต้หลักการนี้

ตัวอย่างเช่น สกุลเงินดิจิทัล  (Cryptocurrencies)  ยังไม่สามารถทำหน้าที่เป็น “หน่วยวัดมูลค่า UOA ที่มั่นคง” ได้อย่างแท้จริง ขณะที่ Stablecoin ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียมูลค่าที่คงที่  เมื่อเทียบกับ UOA ซึ่งอาจขัดกับหลักการ “ความเป็นเอกภาพของเงิน” แม้ว่าจะอิงกับสกุลเงินของประเทศที่มีอยู่แล้วก็ตาม ระบบการเงินมีลักษณะเป็นลำดับขั้น (Hierarchy) โดย เงินของธนาคารกลาง (เช่น เงินสด เงินสำรองของธนาคารพาณิชย์) อยู่ชั้นบนสุด ระดับถัดลงมา คือ เงินฝากธนาคาร ซึ่งถือเป็น รูปแบบหนึ่งของสินเชื่อ คือ เป็นสัญญาว่าจะจ่ายเป็นเงินสด หรือให้การชำระหนี้เสร็จสมบูรณ์ ผ่านตัวแทนดูแลทรัพย์สินโดยอัตโนมัติ ระดับถัดลงไปอีกเป็นเงินที่ออกโดยสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคาร  เช่น เงินอิเล็กทรอนิกส์  (e–money) และ Stablecoin ซึ่งเป็นสัญญาว่าจะจ่ายเป็นเงินฝากธนาคาร

ในแต่ละชั้นของลำดับนี้ มีโครงสร้างกลไกเชิงสถาบันที่แตกต่างกันรองรับความน่าเชื่อถือของสัญญาว่าจะจ่ายนั้นๆ แต่ท้ายที่สุด ยังคงอ้างอิงกับรูปแบบของเงินที่อยู่ในระดับสูงกว่า

ในภาวะปกติ ลำดับชั้นอาจดูไม่สำคัญ แต่ในช่วงที่เกิดวิกฤติ ความแตกต่างของสิทธิเรียกร้องในแต่ละระดับ จะกลับมาแสดงบทบาทอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ “ธนาคารกลาง” จึงทำหน้าที่เป็น “หลักยึด (Anchor)” ของระบบการเงินโดยรวม เงินทุกรูปแบบล้วนต้องพึ่งพาการเข้าถึงเงินของธนาคารกลางในที่สุด  ชัดเจนนะครับ “ธนาคารกลางมีไว้ทำไม” และ “ทำไมต้องห้ามนักการเมืองเข้าไปล้วงลูกธนาคารกลาง”  ไม่อย่างนั้น คนไทยทุกคนจะล้มละลายเงินหายกันหมด  เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นมา.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม