ในขณะที่บรรยากาศความมั่นคงโลกกำลังร้อนระอุตลอดสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นกรณีอิสราเอลเปิดศึกอิหร่าน หรือความตึงเครียดไทย–กัมพูชา ก็ยังมีอีกเหตุการณ์ที่กำลังเป็นคลื่นใต้น้ำก่อตัวเงียบๆ
โดยถือเป็นประเด็นที่อาจสร้างความสั่นคลอนทางด้านความสัมพันธ์ทางความมั่นคงระหว่างสามขั้วพันธมิตร หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯแสดงท่าที “โยนหินถามทาง” ว่าจะต้องมีการทบทวนกันใหม่ ในเรื่องข้อตกลงความร่วมมือเรือดำน้ำนิวเคลียร์แบบไตรภาคี สหรัฐฯ-อังกฤษ-ออสเตรเลีย หรือที่เรียกกันว่าออกัส (AUKUS)
กระทรวงกลาโหมเพนตากอนสหรัฐฯชี้แจง จำเป็นต้องดำเนินการเช่นนี้ เพื่อพิจารณาว่าข้อตกลงดังกล่าวที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลเดโมแครตของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นไปในทิศทางเดียวกับนโยบายเรือธง “อเมริกามาก่อน” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์หรือไม่ ซึ่งหมายความว่าสหรัฐฯอยากให้เกิดความมั่นใจกันว่า กองทัพสหรัฐฯจะมีความพร้อมสูงสุด และชาติพันธมิตรก็พร้อมจะทำหน้าที่ของตัวเอง มีความพร้อมในการป้องกัน และมีระดับอุตสาหกรรมทางการทหารที่เหมาะสมต่อความต้องการของกลุ่มพันธมิตร
สำหรับคนที่อาจลืมไปแล้ว สนธิสัญญาออกัส “ความร่วมมือเสาที่หนึ่ง” คือการผนึกกำลังสร้างความพร้อมของกองเรือดำน้ำ 3 ประเทศ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาเรือดำน้ำรุ่นใหม่ให้แก่กองทัพออสเตรเลีย ลงนามกันในปี 2564 โดยมีรายละเอียดด้วยว่า สหรัฐฯจะขายเรือดำน้ำจู่โจมพลังงานนิวเคลียร์ชั้น “เวอร์จิเนีย” ให้เป็นจำนวน 3-5 ลำ ส่งมอบภายในปี 2575 เพื่อนำมาทดแทนเรือดำน้ำดีเซลรุ่นเก่าของออสเตรเลียชั้นคอลลินส์

...
จากนั้นฝ่ายอังกฤษจะช่วยในการออกแบบเรือดำน้ำรุ่นใหม่ที่เรียกกันว่า “รุ่นออกัส” ให้แก่กองทัพออสเตรเลีย และมาร่วมกันต่อเรือที่อู่ของออสเตรเลีย โดยหวังว่าเรือจะถูก “ปล่อยลงน้ำ” หลังจากปี 2583 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม ออสเตรเลียจะต้องช่วยสมทบทุนให้ทั้งสหรัฐฯและอังกฤษ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมทางทหารของทั้งสองประเทศ สำหรับสหรัฐฯนั้นออสเตรเลียต้องสมทบให้ประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 102,000 ล้านบาท สำหรับอังกฤษนั้นออสเตรเลียต้องสมทบให้ประมาณ 2,980 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 101,320 ล้านบาท
การเคาะเครื่องคิดเลขหาผลลัพธ์ ไม่ว่าจะเป็นค่าซื้อเรือดำน้ำสหรัฐฯ ค่าสมทบทุนอุตสาหกรรมสหรัฐฯ ค่าพัฒนาอู่ต่อเรือในออสเตรเลีย จนถึงค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างทางการทหารต่างๆในออสเตรเลีย เพื่อให้สามารถรองรับกับเรือดำน้ำนิวเคลียร์และการซ่อมบำรุงที่จะตามมา ประเมินไว้ว่าอาจจะบานปลายจนถึงระดับ 368,000 ล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า 12.51 ล้านล้านบาท
ท่าทีครั้งนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ต่างกับพฤติกรรมชักเข้าชักออกในเรื่องกำแพงภาษี ส่งผลให้ทั้งรัฐบาลออสเตรเลียและอังกฤษพยายาม “ดาวน์เพลย์” ลดกระแสวิตกกังวลว่าข้อตกลงจะถูกคว่ำ โดยระบุว่าทราบกันมาล่วงหน้าแล้ว ไม่ได้รู้สึกอึดอัด และขอให้อย่าตีความกันไปไกล
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยอมรับเงียบๆว่า หากข้อตกลงออกัสจะไปต่อได้ ทางเราก็จำเป็นต้องนำเสนอประเด็นบางอย่างให้แก่ทางสหรัฐฯ ซึ่งสามารถตีความได้ว่า “จะเสนออะไรให้สหรัฐฯเพิ่มเติม”
สอดคล้องกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ นายพีต เฮกเซธ รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ออกมาเรียกร้องอย่างชัดเจนว่า ออสเตรเลียจำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณการทหารของตัวเองให้ถึงระดับ 3.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) แต่ถูกนายแอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ชี้แจงกลับว่า จะเพิ่มงบทหารจาก 2% เป็น 2.4% และออสเตรเลียจะเป็นผู้กำหนดทิศทางความมั่นคงของประเทศตัวเอง
ในทางหนึ่ง การที่สหรัฐฯประกาศทบทวนข้อตกลงออกัส อาจถือเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลออสเตรเลีย เนื่องจากบรรดาอดีตผู้นำออสเตรเลียไม่ว่าจะเป็นนายพอล คีตติง หรือนายมัลคอล์ม เทิร์นบูล ต่างก็มองว่า “สมควรที่จะถือโอกาสชิ่งหนีหรือไม่” เพราะนอกจากเรื่องงบประมาณจำนวนมหาศาลแล้ว ยังเกิดคำถามว่าจะป้องกันประเทศได้จริงหรือเปล่า เนื่องจากไม่ควรลืมว่า เรือดำน้ำชั้นเวอร์จิเนียของสหรัฐฯยังไม่สามารถส่งมอบให้กองทัพเรือสหรัฐฯได้ครบตามออเดอร์ สหรัฐฯจำเป็นต้องผลิตเรือดำน้ำให้กองทัพตัวเองมีพอใช้ก่อนที่จะมาผลิตให้ออสเตรเลีย ดังนั้น กระบวนการนี้จะใช้เวลานานเท่าใด ไม่น่าจะทันกำหนดการที่ประเมินกันไว้
แต่ในอีกทางหนึ่ง การปรับเปลี่ยนข้อตกลงหรือการถอนข้อตกลงที่อาจเกิดขึ้น ย่อมถือเป็นความเจ็บปวดของรัฐบาลออสเตรเลีย เนื่องจากในช่วงเดือน ม.ค.เมื่อต้นปี ออสเตรเลียได้สมทบทุนอุดหนุนอุตสาหกรรมการทหารของสหรัฐฯแบบผ่อนชำระงวดแรกไปแล้วเป็นจำนวน 500 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 17,000 ล้านบาท
สรุปแล้วไปต่อก็ไม่รู้ได้เมื่อไร แต่ถ้าไม่ไปต่อยอม “คัต ลอส” ก็เหมือนเสียรู้ และอาจถูกกดดันด้วยวิธีการอื่นๆอีกมากมาย เพราะสุดท้ายแล้วยังไงสหรัฐฯก็ต้องการให้ออสเตรเลียเป็นฐานในการเผชิญหน้ากับจีน โดยที่จีนถือเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของออสเตรเลีย
ข้อตกลงออกัสจึงอาจเป็นบทเรียนหรืออุทาหรณ์สอนใจที่ดี ในเรื่องการเจรจาระหว่างประเทศว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นอาจไม่ใช่ในวันนี้ เรือดำน้ำฝรั่งเศสดีลล้ม ย้ายมาค่ายเรือดำน้ำอเมริกา–อังกฤษแต่ก็เกิดปัญหาอีกจนได้ จากการเปลี่ยนรัฐบาลเปลี่ยนนโยบาย.
วีรพจน์ อินทรพันธ์
คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม
...