จากกรณีความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา ได้ทำให้รัฐบาลไทยมีการใช้คำว่า “โน แมนส์ แลนด์” No man’s land มาใช้เรียกขานบริเวณที่เกิดการรุกล้ำดินแดน

เลยเป็นที่มาให้สื่อต่างๆใช้คำนี้กันอย่างคึกคัก เนื่องด้วยศัพท์ที่ว่านี้จะถูกหยิบยกมาใช้ในสถานการณ์ความขัดแย้งและสงครามต่างๆนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

แน่นอนว่าต้นตอของคำว่าโนแมนส์แลนด์ ถูกบัญญัติขึ้นมาตั้งแต่ยุคกลางเมื่อกว่า 700 ปีก่อน อธิบายถึงพื้นที่ที่กำลังมีปัญหาทางกฎหมาย ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ต่อมาคำคำนี้เริ่มมาใช้อย่างแพร่หลายใน “มหาสงคราม” หรือที่เราเรียกขานกันว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งอุบัติขึ้นเมื่อปี 2457

โดยอธิบายถึงภาพรวมของแนวรบตะวันตกที่กองทัพเยอรมนีเปิดฉากการรุกเพื่อหวังไล่ต้อนให้กองทัพสัมพันธมิตรล่าถอยไปจนตกทะเล และทำให้เกิดพื้นที่แห่งความตาย จากนั้นทางกองทัพออสเตรีย-เยอรมนี จึงหยิบยกคำว่าโนแมนส์แลนด์มาใช้อย่างเป็นทางการในข้อตกลงหยุดยิงวันคริสต์มาสในปีแรกของสงคราม

เป็นเหตุให้คำศัพท์ที่ว่านี้แพร่สะพัดออกไป ถูกนำไปใช้ในเอกสารราชการ เอกสารกองทัพ ไปจนถึงรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรหรือฝ่ายอักษะ

...

ในสงครามโลกครั้งที่ 1 โนแมนส์แลนด์ตามความเข้าใจของเหล่าทหาร หมายถึงพื้นที่หรือดินแดนระหว่างสนามเพลาะของฝ่ายตัวเองกับฝ่ายข้าศึก เป็นพื้นที่ว่างเปล่าที่ทหารสองฝ่ายอยู่ระหว่างประจันหน้ากัน มีระยะได้ตั้งแต่ 10 เมตรไปจนถึงหลายร้อยเมตร ตรงตัวคือเป็นพื้นที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ หรือรอดชีวิตอยู่ได้ เนื่องจากเต็มไปด้วยรังปืนกล ถูกจับจ้องด้วยพลซุ่มยิง เป็นจุดตกของกระสุนปืนใหญ่ ปืนครก ไม่รวมถึงลวดหนามหรือกับระเบิด

ภาพข่าวที่ปรากฏสู่สายตาสาธารณชน แสดงให้เห็นถึงการทำลายล้าง ละอองร่องรอยของอาวุธเคมี ศพที่นอนเกลื่อนกลาดที่ไม่สามารถไปเก็บกู้มาได้ จนถึงซากของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่กระจัดกระจายเต็มสนามรบ ยิ่งทำให้คำนี้ถูกฝังอยู่ในความทรงจำ และใช้กันเรื่อยๆมา โดยไม่มีการบัญญัติศัพท์ใหม่

ข้ามมาในยุคสงครามเย็น หรือราว 30 ปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 โนแมนส์แลนด์ยังถูกใช้มาอธิบายถึงพื้นที่พรมแดน “ม่านเหล็ก” ของสหภาพโซเวียต เนื่องจากในยุคนั้นทางกองทัพแดงมีมาตรการอันเข้มงวด เรื่องจำกัดการไปมาหาสู่กัน รวมถึงป้องกันการแปรพักตร์จากค่ายคอมมิวนิสต์ไปอยู่กับเสรีประชาธิปไตย

โดยเป็นพื้นที่แนวลวดหนาม ป้อมรักษาการณ์ และแนวกับระเบิด ระยะหลักร้อยเมตรหรือสั้นกว่านั้น อย่างเขตแดนระหว่างชาติยุโรปตะวันตก-ตะวันตก หรือเขตแดนที่แบ่งกรุงเบอร์ลินเป็นสองฝั่ง

เช่นเดียวกับพื้นที่รอบฐานทัพเรือสหรัฐฯในอ่าวกวนตานาโม ที่สหรัฐฯและคิวบามีการฝังกับระเบิดไว้นับหมื่นลูก หลังจากความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศอยู่ในขั้นเลวร้ายจากการที่โลกแบ่งเป็นสองขั้ว หรือกรณีความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-จอร์แดน ที่มีการกำหนดพื้นที่ที่ไม่มีฝ่ายใดครอบครองเป็นโนแมนส์แลนด์

ศัพท์ดังกล่าวยังถูกใช้ในยุคปัจจุบัน จากกรณีกองทัพรัสเซียไฟเขียวปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครนตั้งแต่ 3 ปีก่อน บรรยายถึงสภาพสนามรบอันอ้างว้าง ทุ่งกว้างระหว่างกลางที่ทั้งสองกองทัพตรึงกำลังดูท่าที ท่ามกลางฝูงโดรนพิฆาตที่บินตรวจตรารอหาจังหวะโจมตี หรืออธิบายถึงสมรภูมิที่ทั้งสองฝ่ายประสบความสูญเสียอย่างหนัก เนื่องจากเป็นตำบลกระสุนตก ถูกมาร์กเป้าไว้ด้วยปืนใหญ่ ขยับตัวเคลื่อนพลเมื่อไร ก็สุ่มเสี่ยงที่จะถูกกระหน่ำจนวอดวายละลายทั้งหน่วย

มีคำถามที่น่าสนใจเช่นกันว่า โนแมนส์แลนด์ ตีความว่าเป็น “เขตปลอดทหาร” (Demilitarize) ได้หรือไม่ เพื่อใช้บรรยายพื้นที่ที่ไม่มีทหารทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ตามเขตปลอดทหารย่อมหมายถึงการกำหนดให้พื้นที่แห่งใดแห่งหนึ่งไม่มีทหารประจำการอยู่ ไม่มีโครงสร้างทางความมั่นคงไม่ว่าจะเป็นฐานทัพ หอสังเกตการณ์ หรือโครงสร้างใดๆที่เกี่ยวกับการทหาร รวมไปถึงอยู่ระหว่างการทำลายวัตถุระเบิดต่างๆในอาณาเขต
ดังกล่าว

เขตปลอดทหารจึงถือเป็น “กระบวน การ” ที่เกิดขึ้นจริง เพื่อลบบทบาททางฝ่ายความมั่นคงออกไปจากพื้นที่ ให้พื้นที่ดังกล่าวนำไปใช้ประโยชน์ทางการทหารมิได้ เพื่อนำไปสู่การคลี่คลายสถานการณ์หรือบรรลุสันติภาพระหว่างคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย ขณะที่โนแมนส์แลนด์ถือเป็น “ไอเดียทางนามธรรม” เพื่อใช้อธิบายถึงพื้นที่ที่มีความไม่แน่ไม่นอน และมักเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งหรือสงคราม มีความพยายามแย่งชิงกันอยู่

ด้วยเหตุนี้ การใช้คำว่าโนแมนส์แลนด์มาอธิบายถึงสถานการณ์พรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ย่อมสามารถถูกนำไปตีความได้ว่า “พื้นที่ตรงนั้นไม่ใช่ของของเรา แต่เรากำลังพยายามแย่งชิงมา”

การจะไปพูดว่าตรงนู้นตรงนี้ หรือปราสาทนู้นปราสาทนี้ก็เป็นโนแมนส์แลนด์จะกลายเป็นว่า เรายอมรับว่าไม่ใช่ของของเราทั้งที่เป็นของของเรา นอกจากนี้ จะใช้คำว่า “พื้นที่ทับซ้อน” ก็ไม่ถูกต้อง เรื่องดินแดนทับซ้อนกันไม่ได้ ดินแดนใครดินแดนมัน สุดท้ายควรใช้คำว่า “พื้นที่อ้างสิทธิ” ดูจะละมุนละม่อมไว้ไมตรี เหมาะสมและถูกต้องมากกว่า.

วีรพจน์ อินทรพันธ์

คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม

...