ทำไมสัตว์ธรรมดาๆสายพันธุ์หนึ่งอย่างมนุษย์ ถึงกลายเป็น "พระเจ้า" ผู้ครองโลกไปได้? ทั้งๆที่เมื่อ 6 ล้านปีก่อน เรามีบรรพบุรุษร่วมกับชิมแปนซี โดยย่าทวดวานรมีลูกสาว 2 นาง นางหนึ่งเป็นบรรพบุรุษของชิมแปนซีและวานรอื่นๆ ส่วนอีกนางคือบรรพบุรุษของมนุษย์อย่างพวกเรา
ในหนังสือ “Sapiens” ประวัติย่อมนุษยชาติของ “ยูวัล โนอาห์ แฮรารี” อธิบายว่า เดิมที “มนุษย์” คือสัตว์
ชนิดหนึ่งในสกุล “โฮโม” ซึ่งประกอบด้วยมนุษย์ 6 สายพันธุ์ แต่เราก็เอาชนะมนุษย์เหล่านั้นมาได้อย่างราบคาบ และเรียกขานตัวเองว่าเป็น “โฮโมเซเปียนส์” (Homo sapiens) มนุษย์เพียงสปีชีส์เดียวที่รอดมาได้จากการสูญพันธุ์ของสัตว์ขนาดใหญ่ทั่วโลก และใช้สมองชาญฉลาดปฏิวัติเกษตรกรรม เพาะปลูก, เลี้ยงสัตว์ และตั้งถิ่นฐานถาวร เป็นรากฐานปูทางสู่การครองโลกของมนุษย์ยุคปัจจุบัน
ความลับหนึ่งที่ “โฮโมเซเปียนส์” พยายามปกปิดจากหน้าประวัติศาสตร์คือ พวกเขาเป็นสมาชิกของวงศ์ใหญ่เรียกว่า “วานร ยักษ์” ซึ่งชอบส่งเสียงเอ็ดตะโร โดยมีชิมแปนซี, กอริลลา, อุรังอุตัง เป็นญาติใกล้ชิดสุด มนุษย์จงใจแต่งเรื่องว่าเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพรากไปจากอกพ่อแม่ และไร้ญาติขาดมิตร
เมื่อราว 2.5 ล้านปีก่อนนั้น วิวัฒนาการทำให้เกิดมนุษย์ขึ้นครั้งแรกในแอฟริกาตะวันออก เริ่มจากวานรสกุลแรกชื่อ
“ออสตราโลพิเธคัส” หรือ “วานรใต้” ภายหลังมนุษย์โบราณบางคนละทิ้งบ้านเกิดออกเดินทางไปตั้งถิ่นฐานในแอฟริกาเหนือ, ยุโรป และ เอเชีย โดยวิวัฒน์ตัวเองแตกต่างกันไปเพื่อเอาชีวิตให้รอด สมาชิกของสกุลนี้บ้างก็ตัวใหญ่ บ้างเป็นคนแคระ บ้างเป็นนักล่า บ้างเป็นนักเก็บของป่า บ้างอาศัยอยู่บนเกาะโดดเดี่ยว บ้างก็ท่องเที่ยวไปทั่วยุโรป
...
มนุษย์ทุกสปีชีส์มีลักษณะร่วมกันหลายอย่าง โดยเฉพาะการมีมันสมองขนาดใหญ่เป็นพิเศษเมื่อเทียบกับสัตว์อื่นๆ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมน้ำหนัก 60 กิโลกรัม มีขนาดสมองเฉลี่ย 200 ลูกบาศก์เซนติเมตร ส่วนมนุษย์รุ่นแรกที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 2.5 ล้านปีก่อน มีขนาดสมอง 600 ลูกบาศก์เซนติเมตร ขณะที่เซเปียนส์ยุคใหม่มีขนาดสมอง 1,200-1,400 ลูกบาศก์เซนติเมตร การมีสมองขนาดใหญ่กินพลังงานของร่างกายมาก และการรับน้ำหนักสมองในกะโหลกศีรษะขนาดใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ยากยิ่งกว่าคือการสะสมพลังงานเพื่อเลี้ยงสมอง ทั้งนี้ น้ำหนักสมองของ “โฮโมเซเปียนส์” คิดเป็นร้อยละ 2-3 ของน้ำหนักร่างกาย แต่มันต้องการพลังงานขณะพักถึงร้อยละ 25 ของพลังงานทั้งหมด เมื่อเทียบกับสมองวานรอื่นๆที่ต้องการพลังงานแค่ร้อยละ 8
มนุษย์โบราณต้องจ่ายค่าตอบแทนของการมีสมองขนาดใหญ่ ด้วยการใช้เวลาในการหาอาหารมากขึ้น และพัฒนาตัวเองจนเป็น “นายพรานล่าสัตว์หาของป่า” ควบคู่กับ “เผ่าพันธุ์นักปรุงอาหารชั้นเลิศ” ขณะที่ชิมแปนซีใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมงต่อวันในการเคี้ยวอาหารดิบ แต่หลังจากใช้ไฟเป็นเมื่อ 300,000 ปีที่แล้ว มนุษย์ก็ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงในการกินอาหารที่ปรุงสุกแล้ว กระนั้น สิ่งที่ต้องแลกกับสมองขนาดใหญ่คือ กล้ามเนื้อของมนุษย์ที่ฝ่อลีบลง เพราะเปลี่ยนพลังงานไปส่งให้เซลล์ประสาทแทน ถ้าแข่งโต้วาทีกับชิมแปนซี มนุษย์คงชนะ แต่พวกเราอาจถูกฉีกเป็นชิ้นๆถ้าหลงไปอยู่ในทุ่งหญ้าสะวันนา
ลักษณะร่วมอีกอย่างคือ “เดินตัวตรงบนขาทั้งสองข้าง” การลุกขึ้นยืนทำให้สามารถมองหาเหยื่อในสะวันนาง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็ใช้ฝ่ามือและนิ้วทำงานละเอียดอ่อนได้มากขึ้น แต่การเดินตัวตรงของมนุษย์ก็มีข้อเสีย เพราะโครงกระดูกตระกูลมนุษย์พัฒนามาเป็นล้านๆปีให้รองรับการเดินด้วยแขนขาทั้งสี่ข้าง และศีรษะที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก การลุกขึ้นมายืนสองขาจึงต้องแลกกับอาการปวดคอบ่าไหล่และหลัง
มนุษย์ทุกสปีชีส์ยังมี “ยีนตะกละตะกลาม” ชี้จากนิสัยการกินของบรรพบุรุษนายพราน นักล่าเมื่อ 30,000 ปีที่แล้ว มีผลไม้สุกเป็นของหวานเพียงอย่างเดียว หากนักล่ายุคหินพบต้นมะเดื่อออกลูกเต็มต้น สิ่งที่จะทำคือกินลูกมะเดื่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนฝูงลิงบาบูนจะกินมันจนหมด สัญชาตญาณการบริโภคอาหารพลังงานสูงอย่างตะกละตะกลามได้ฝังลึกอยู่ในพันธุกรรมของมนุษย์ ทุกวันนี้แม้จะมีอาหารล้นตู้เย็น แต่ดีเอ็นเอของมนุษย์ยังคิดว่าเรายังอยู่ในทุ่งหญ้าสะวันนาที่หิวโหย นี่คือเหตุผลว่าทำไมมนุษย์ชอบกินอาหารหวานจัด
มันจัดและแคลอรีสูง เพราะยีนตะกละมันทำงานไม่หยุด ไม่เฉพาะเรื่องอาหารการกิน ยังรวมถึงความตะกละกระหายในอำนาจด้วย.
มิสแซฟไฟร์
คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม