110 ปี หลังจากทหารออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งของตุรกีในกัลลิโปลี หนึ่งในสมรภูมิอันโหดร้ายในสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้คนนับพันเดินทางมารวมตัวกันทำพิธีในยามย่ำรุ่งตามสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์สงครามต่างๆ ทั่วโลก เพื่อรำลึกถึงความเสียสละและกล้าหาญของผู้ที่เคยรับใช้ชาติทั้งในช่วงสงครามและยามสงบ ตลอดจนผู้ที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ในทุกวันนี้ ในวันแอนแซค (ANZAC) 25 เม.ย.ของทุกปี

สำหรับในประเทศไทย สถานที่หลักในการจัดพิธีรำลึกวันแอนแซคยังคงอยู่ที่ช่องเขาขาด จังหวัดกาญจนบุรี สถานที่ตั้งของเส้นทางรถไฟสายมรณะไทย–พม่าในอดีต ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานรำลึกใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากที่กัลลิโปลี ของตุรกี

ในงานนี้ แองเจลา แมคโดนัลด์ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย กล่าวว่า เรายืนหยัดร่วมกันที่ช่องเขาขาดแห่งนี้ เพื่อรำลึกถึงผู้ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ รวมทั้งผู้ที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ในปัจจุบัน ความกล้าหาญ การเสียสละ และการรับใช้ชาติไม่ว่าจะในยามสงคราม หรือภารกิจด้านมนุษยธรรมและสันติภาพ จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์และเราจะจดจำไม่ลืมเลือน

ด้าน โจนาธาน คิงส์ เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทยเผยว่า ที่ผ่านมามีทหารนิวซีแลนด์กว่า 30,000 นาย พลีชีพในสงครามและความขัดแย้งนับตั้งแต่ปี 2458 ขณะเดียวกันยังเสริมว่า วันแอนแซคคือช่วงเวลาที่เราหยุดนิ่งและระลึกถึงผู้ที่เสียสละเพื่อเสรีภาพของพวกเรา พร้อมปิดท้ายด้วยภาษาเมารี มีความหมายว่า “เราจะจดจำพวกเขา”

จากนั้นผู้แทนรัฐบาลและแขกผู้มีเกียรติได้วางพวงหรีดเพื่อรำลึกถึงผู้ที่ล่วงลับ ต่อด้วยการบรรเลงเพลง “Last Post” และยืนสงบนิ่งเป็นเวลาหนึ่งนาที ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบภายในช่องเขา เต็มไปด้วยบรรดาลูกหลานญาติพี่น้องของเหล่าทหารผ่านศึก ทั้งผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้

...

ภายหลังพิธีการเสร็จสิ้นลง พล.ร.อ.เดวิด จอห์นสตัน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดออสเตรเลีย ได้มาร่วมพูดคุยว่านอกจากวันนี้เป็นวันพิเศษสำหรับชาวออสเตรเลียและชาวนิวซีแลนด์ทั่วโลกแล้ว การได้กลับมาร่วมสานต่อประเพณีแอนแซคในประเทศไทยยังมีความหมายอย่างยิ่งกับตนเอง เนื่องจากเคยใช้ชีวิตเติบโตในกรุงเทพมหานคร

ขณะที่ “ช่องเขาขาด” หรือ “Hellfire Pass” เป็นสถานที่รำลึกถึงจิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญ เสียสละและทุ่มเทของผู้คนถูกบังคับใช้แรงงานอย่างทารุณกว่า 200,000 ชีวิต ในจำนวนนั้นมีเชลยศึกชาวออสเตรเลียถึง 13,000 นาย ที่ถูกบังคับให้สร้างทางรถไฟสายมรณะไทย-พม่า และกว่า 2,700 นาย ต้องทิ้งชีวิตไว้ ณ สถานที่แห่งนี้

เรายังมิอาจลืมเลือนความมีน้ำใจของคนไทยและชุมชนที่เสี่ยงชีวิตตนเองและครอบครัวแอบหยิบยื่นความช่วยเหลือ ทั้งยาและกำลังใจให้แก่เชลยศึกชาวออสเตรเลีย

ที่สำคัญ ช่องเขาขาดแห่งนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพออสเตรเลียและกองทัพไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2488 จากความร่วมมือค้นหาและนำร่างทหารออสเตรเลียกลับสู่มาตุภูมิ นำไปสู่การพัฒนาความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง

มีการร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพในหลากหลายภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ กัมพูชา ติมอร์เลสเต ไปจนถึงโซมาเลีย และในปีนี้ ออสเตรเลียจะเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกซ้อมทางทหารครั้งใหญ่ Talisman Sabre ร่วมกับกองทัพไทยและชาติพันธมิตรอีก 17 ประเทศ ตั้งแต่กลางเดือน ก.ค.–ต้นเดือน ส.ค. เพื่อช่วยพัฒนาทักษะในการทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดแผ่นดินไหวภัยพิบัติ หรือในสถานการณ์เลวร้าย ซึ่งกองทัพต้องรวมตัวปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว

ผู้บัญชาการทหารสูงสุดออสเตรเลียยังมองว่าการที่สถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาคปัจจุบันมีความสั่นคลอนกว่าที่เคยเป็นมา ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของวันแอนแซค ในการรำลึกถึงผลกระทบอันเลวร้ายจากความขัดแย้ง การสูญเสียชีวิต และความทุกข์ทรมานจากสงคราม สิ่งสำคัญก็คือประเทศต่างๆในภูมิภาคจะต้องร่วมมือกันในทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธี และให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ยึดมั่นเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ใช้แนวทางการทูตเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการกับความเห็นที่ไม่ลงรอย

ขณะที่บทบาทของกองทัพคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจรจาทางการทูตให้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ

สำหรับคนรุ่นใหม่ พล.ร.อ.เดวิด จอห์นสตัน มองว่า จิตวิญญาณแอนแซคสอนเรื่อง การเสียสละตนเองเพื่อส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากพื้นเพใดก็มีโอกาสที่จะร่วมสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเองได้ เยาวชนสามารถเรียนรู้ความกล้าหาญและความทรหดอดทนจากวีรกรรมของคนรุ่นก่อนที่เผชิญหน้ากับภยันอันตรายบนสมรภูมิกัลลิโปลี ในวัยเพียง 18-19 ปีเท่านั้น

แม้ความท้าทายในปัจจุบันจะแตกต่างกัน แต่จิตวิญญาณของการทำงานร่วมกัน การเคารพซึ่งกันและกัน และการพยายามอย่างสุดความสามารถเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก คือสิ่งที่คนรุ่นใหม่สามารถนำไปปรับใช้ได้ พล.ร.อ.จอห์นสตันให้ข้อสรุปทิ้งท้าย.

คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม