ทั่วโลกต่างจับจ้องความขัดแย้ง “ในตะวันออกกลาง” ที่ปะทุขึ้นใหม่นับตั้งแต่อิสราเอล-อิหร่านเปิดฉากระดมยิงขีปนาวุธ-โดรนตอบโต้กันโดยตรงครั้งแรก หลังเป็นศัตรูคู่อาฆาตทำการสู้รบกันแบบลับๆ มายาวนาน ที่อาจลุกลามกลายเป็นสงครามใหญ่ในภูมิภาคแห่งนี้

ทำให้สถานการณ์ตะวันออกกลางร้อนระอุที่อาจทวีความรุนแรงต่อจากนี้โดย ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผอ.ศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหา วิทยาลัยวิเคราะห์ว่า การสู้รบระหว่างอิสราเอล-อิหร่านค่อนข้างตึงเครียด และล่อแหลมอาจลุกลามบานปลายกลายเป็นสงครามใหญ่ในภูมิภาคในตะวันออกกลาง

ถ้าดูชนวนก็มาจาก “อิสราเอลถล่มโจมตีฉนวนกาซา” หลังกลุ่มฮามาส จู่โจมแบบไม่คาดคิดเมื่อ 7 ต.ค.ที่ผ่านมาแล้ววิกฤติปัญหาของปาเลสไตน์ก็มิได้จำกัดเฉพาะการสู้รบกันในกาซากลับเชื่อมโยงหลายแนวรบในตะวันออกกลาง “มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มติดอาวุธ” ที่เป็นพันธมิตรกับอิหร่านออกมาช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ด้วย

เหตุการณ์นี้ได้ลุกลามนำมาสู่ “ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน” ก่อให้เกิดการปะทะกันรุนแรงขึ้นใหม่เพราะที่ผ่านมา 2 ประเทศนี้ทำสงครามตัวแทน และสงครามลับๆ ไม่เปิดหน้าต่อสู้กันโดยตรงมายาวนานกว่า 40 ปีเพียงแต่ทั่วโลกไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่อันที่จริงเป็นสงครามย่อยทำให้ผู้คนเสียชีวิตมากมายด้วยซ้ำ

กระทั่งวันที่ 1 เม.ย.2567 “อิสราเอลโจมตีสถานกงสุลอิหร่านในซีเรีย” ทำให้นายทหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 7 ราย แล้ววันที่ 13-14 เม.ย. “อิหร่าน” ตอบโต้กลับด้วยโดรน และขีปนาวุธ 300 ลูกยิงเข้าไปในประเทศอิสราเอลแล้วก็มีความพยายามตอบโต้ด้วยโดรนขนาดเล็กใส่ “อิหร่าน” แต่ถูกสกัดตกหลายลำ

...

สะท้อนให้เห็นว่า “อิสราเอล-อิหร่านได้เปิดเกมเผชิญหน้าตอบโต้กันโดยตรง” กลายเป็นเหตุสุดวิสัยอันตรายล่อแหลมนำไปสู่ “การขยายสงคราม” ให้ร้อนแรงลุกลามไปทั่วภูมิภาคตะวันออกกลางก็เป็นไปได้

ถ้าย้อนดูชนวนความขัดแย้ง “ระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน” ล้วนเกิดจากการหวาดระแวงต่อกัน 2 เรื่องใหญ่ คือ เรื่องแรก...“ปัญหาเกี่ยวกับปาเลสไตน์” เพราะหลังปฏิวัติอิหร่าน ค.ศ.1979 ได้เขียนระบุในรัฐธรรมนูญว่าปัญหาปาเลสไตน์เป็นประเด็นสำคัญกับผลประโยชน์ของอิหร่าน ทำให้ต้องการเห็นการสร้างรัฐปาเลสไตน์ขึ้นมา

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา “อิสราเอลก็มองอิหร่านเป็นภัยคุกคาม” แล้วเริ่มทำสงครามต่อสู้กันมาตลอดจนในปี 1982 “อิสราเอล” บุกยึดครองภาคใต้ของประเทศเลบานอน “อันเป็นดินแดนที่อาศัยของชาวมุสลิมชีอะห์” ทำให้อิหร่าน ส่งกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) 1500 นายเข้าไปปลุกระดมมวลชน

กระทั่งนำมาสู่ “การสร้างกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah)” เพื่อใช้เป็นกองกำลังทำสงครามตัวแทนกับ “อิสราเอล” จนต้องถอนทหารออกไปในปี 2000 แล้วก็เกิดการต่อสู้รบกันอีกในปี 2006 กลายเป็นประเด็นอ่อนไหวให้อิสราเอล-อิหร่านเกิดการหวาดระแวงระหว่างกันมาตลอด

ปัจจัยถัดมาข้อระแวงที่สอง... “การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน” เพราะด้วยก่อนหน้านี้อิสราเอลเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคตะวันออกกลาง สามารถพัฒนา และผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ กระทั่งปัจจุบันนี้สหรัฐอเมริกา และอิสราเอลเริ่มสงสัยว่าอิหร่านกำลังจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จเช่นกัน

ทำให้ที่ผ่านมาพยายามออกมาตรการสกัดกั้นหลายครั้ง “เพื่อไม่ให้อิหร่าน พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ” ด้วยการใช้ไม้แข็งให้อิสราเอลลักลอบโจมตีโรงงานผลิตนิวเคลียร์ของอิหร่านหลายครั้งแบบลับๆ รวมถึงบรรดาพันธมิตรอย่าง “สหรัฐฯ และชาติตะวันตก” ต่างออกมาตรการแซงก์ชัน และตัดความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย

ต่อมาปี 2015 “ยุคบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ” ได้ทำข้อตกลงกับอิหร่านไว้ถัดมา “ในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ” ได้ฉีกข้อตกลงทำให้ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ อิสราเอลและอิหร่านตึงเครียดจนสหรัฐฯ ใช้โดรนสังหาร พล.ต.กอเซ็ม สุไลมานี อดีตผบช.กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่านในประเทศอิรักเมื่อปี 2020

คราวนั้นทั่วโลกต่างหวาดกลัวว่า “อิหร่าน-สหรัฐฯ” จะทำสงครามครั้งใหญ่ด้วยซ้ำ สุดท้าย “อิหร่าน” ตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพสหรัฐฯประจำในอิรักเท่านั้น สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นล้วนเป็นฐานมูลเหตุสำคัญให้ 2 ประเทศเกิดการ หวาดระแวงต่อกันจนนำมาสู่การต่อสู้เผชิญหน้าโดยตรงตามที่ปรากฏอยู่ในวันนี้

...

ตอกย้ำสาเหตุ “อิหร่านกล้าเผชิญหน้าอิสราเอลโดยตรง” เพราะด้วยสถานการณ์โลกเปลี่ยนไปในวันนี้เราได้เห็นว่า “จีน และรัสเซียผงาดขึ้นมาค้านอำนาจสหรัฐฯ” แล้วช่วงหลังมานี้อิหร่าน จีน และรัสเซียก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากขึ้นโดยเฉพาะทางการค้า และความร่วมมือในด้านความมั่นคงหลายระดับ

เรื่องนี้ส่งผลให้ “อิหร่าน” มิได้ถูกโดดเดี่ยวเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ทำให้สามารถต่อกรกับอิสราเอล และชาติพันธมิตรตะวันตกได้ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดีสำหรับปฏิบัติการทางทหารของอิหร่านในช่วง 13-14 เม.ย.ที่ผ่านมาจะสังเกตเห็นว่าพยายามจำกัดวงไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประเทศอิสราเอลแม้จะมีศักยภาพทำได้สูงกว่านั้นก็ตาม

ส่วนใหญ่เน้นทำลายความมั่นคงทางทหาร เช่น “ฐานทัพอากาศอิสราเอล” โดยมุ่งไม่ให้เกิดความเสียหายต่อพลเรือนแล้วก่อนปฏิบัติการ 2-3 วัน “อิหร่าน” ก็เผยเรื่องนี้ต่อพันธมิตรให้นำข่าวไปแจ้ง “สหรัฐฯ” เตรียมรับมือไว้เลยด้วยซ้ำ เพราะอิหร่านยังไม่พร้อมเปิดศึกสงครามเต็มรูปแบบกับอิสราเอล และชาติตะวันตก

...

เนื่องจาก “มีปัญหาด้านเศรฐกิจ” แล้วการทำสงครามก็ต้องมีต้นทุนมหาศาล ดังนั้นอิหร่านจึงไม่ต้องการทำสงครามใหญ่ เพราะแม้จะมีจีน และรัสเซียค่อยช่วยเหลือแต่ว่า “จีน” เข้ามาในตะวันออกกลางต้องการค้าขายไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งในส่วน “รัสเซีย” ก็ยังเจอศึกสงครามกับยูเครนหนักพอสมควรแล้ว

ดังนั้น “อิหร่าน” จึงไม่อาจไว้วางใจกับการช่วยเหลือ “จีน และรัสเซีย” ทำให้ปฏิบัติการทางทหารต่ออิสราเอลเมื่อไม่นานมานี้จำกัดขอบเขตแคบๆ “เพื่อไม่สร้างปัญหาให้ประเทศตัวเอง” ดังนั้นชนวนปัญหาที่อาจจะนำไปสู่ “สงครามใหญ่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง” ต้องมุ่งเป้ามายังอิสราเอลอาจต้องการสงครามก็ได้

สาเหตุมาจาก “เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล” ปัจจุบันค่อนข้างไม่ได้รับความนิยมจากประชาชนเท่าที่ควรเพราะ “ถูกฟ้องดำเนินคดีข้อหาคอร์รัปชัน” ทั้งยังไม่ประสบความสำเร็จในสงครามกาซา แถมยังล้มเหลวด้านการข่าวจนนักรบติดอาวุธฮามาสสามารถบุกจู่โจมแบบไม่คาดคิดเมื่อ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา

...

ฉะนั้น “เนทันยาฮู” ไม่สามารถสร้างคะแนนนิยมให้ประชาชนในประเทศได้ต้องสร้างภัยคุกคามภายนอก เพราะด้วยเป็นประเทศเล็กล้อมรอบด้วยศัตรู แล้วเมื่อใดก็ตามเกิดภัยคุกคามประชาชนมักเป็นเอกภาพ

เช่นนี้ “เนทันยาฮู” จะสามารถมีชีวิตทางการเมืองไปได้ต่อต้องอาศัย “การก่อ และขยายสงคราม” แล้วถ้าสามารถได้ชัยชนะก็จะทำให้ได้ “รับคะแนนนิยมกลับคืนมา” ดังนั้นความขัดแย้งครั้งนี้จะบานปลายเป็นสงครามขนาดใหญ่ในตะวันออกกลางหรือไม่ ก็น่าจะเกิดจากการยั่วยุจากอิสราเอลเป็นสำคัญ

แม้แต่ “เลขาธิการสหประชาชาติ” ยังแสดงความกังวลต่อเหตุการณ์นี้กำลังเป็นหุบเหวในตะวันออกกลางอาจจะก่อสงครามจนย้อนกลับมาจุดเดิมไม่ได้ “กระทบเศรษฐกิจ” ที่ประชาคมโลกไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

อันมีปัจจัยจาก “ตะวันออกกลาง” เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญนอกจาก “ผลิตน้ำมันดิบ” ยังมีเส้นทางการค้าโดยเฉพาะ “ช่องแคบฮอร์มุซ” เขตอิทธิพลของอิหร่านใช้ขนส่งน้ำมันจาก “อ่าวเปอร์เซียไปสู่ตลาดโลก” นอกจากนี้ยังมี “ช่องแคบบับเอลมันเดบ” ที่เป็นช่องแคบอยู่ทางใต้สุดของทะเลแดงเขตอิทธิพลกลุ่มฮูซี

เรื่องนี้ “อิหร่าน” เคยประกาศจะทำการปิดช่องแคบทั้ง 2 แห่งหลายครั้งนับตั้งแต่พลตรี กอเซ็ม สุไลมานีถูกลอบสังหารดังนั้น “ประเทศไทย” ต้องจับตาดูความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด และทำความเข้าใจเพื่อประเมินสถานการณ์ไม่ให้กระทบกับผลประโยชน์ของคนไทยที่ไปลงทุนอยู่ในตะวันออกกลางนั้น

ย้ำว่าความขัดแย้ง “อิสราเอล-อิหร่าน” ไม่มีใครคาดเดาทิศทางการสู้รบชัดเจนได้ แต่นับเป็นจุดล่อแหลมเสี่ยงก่อเกิดสงครามใหญ่ระดับภูมิภาคตะวันออกกลาง กลายเป็นซ้ำเติมเศรษฐกิจโลกแย่ลงได้.