เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ว่า กองทัพสหรัฐฯจะต้องปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายในตะวันออกกลางเพิ่มเติม เพื่อเอาคืนเหตุการณ์โดรนฆ่าตัวตายคร่าชีวิตทหารอเมริกันในจอร์แดน

ไม่ปล่อยให้ถูกลูบคมความเป็นเจ้าอิทธิพลทางความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลาง ของสหรัฐฯ และก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า ภาพความยิ่งใหญ่ทางทหารของพญาอินทรี สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงเปลือกนอก เก่งแต่กับกลุ่มกองโจร กองกำลังติดอาวุธที่สวมนวมคนละเบอร์

ปฏิบัติการเอาคืนที่ว่านี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงวันที่ 3 ก.พ. ตอนเวลาประมาณเที่ยงคืน ศูนย์บัญชาการกองทัพสหรัฐฯประจำภูมิภาคกลาง (CENTCOM) เปิดเผยว่า เป็นการดำเนินภารกิจขนานใหญ่ ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์รุ่น B-1 ปูพรมเป้าหมายกว่า 85 แห่งในอิรักและซีเรีย

หอบหิ้วความตายจากสหรัฐฯ มาดีลิเวอรี ถึงหน้าบ้านของกลุ่มที่เชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตีในจอร์แดน พร้อมโชว์ว่าเป็นทริปด่วนพิเศษ บินลัดฟ้ามาจากอเมริกาแบบไม่จอดพัก และใช้เทคโนโลยีขั้นสูง หย่อนระเบิดราคาแพง ที่มีความแม่นยำอย่างจับวาง เป็นจำนวน 125 ลูก

ศูนย์เซ็นต์คอมสหรัฐฯ ยืนยันอย่างมั่นใจ เป้าหมายที่ถูกทำลายมีทั้งหน่วยบัญชาการ โรงงานผลิตกระสุน คลังเก็บโดรนฆ่าตัวตาย ไปจนถึงเครือข่ายโลจิสติกส์ต่างๆ ของกลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการฝึกฝนจากกองทัพพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามอิหร่าน หรือหน่วยเรโวลูชันนารี การ์ดส์ อันโด่งดัง ตอกย้ำให้โลกเห็นว่า ล้อเล่นกับอเมริกาย่อมเจอดี เรารู้หมดว่าใครเป็นใคร หลบซ่อนอยู่แห่งหนตำบลใด

อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการครั้งนี้ซึ่งอาจเป็น “ขั้นแรก” ก็แสดงให้เห็นเช่นกันว่า ถึงกองทัพสหรัฐฯจะเล่นใหญ่ไฟกะพริบ ใช้อาวุธหนักอย่างเครื่องบินทิ้งระเบิด B-1 จัดการปูพรมเป้าหมายให้ราบเป็นหน้ากลอง แต่รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ยังหลีกเลี่ยงที่จะ “มีเรื่อง” กับอิหร่านโดยตรง เมินเฉยคำรีเควสของพวกนักการเมืองบ้าสงครามในสภา ที่ก่อนหน้านี้เรียกร้องปาวๆ ให้ทิ้งระเบิดใส่อิหร่านไปเลย

...

เพราะหากทำเช่นนั้นจริงก็ย่อมหมายถึง สงครามครั้งใหญ่รอบใหม่ในตะวันออกกลาง และเป็นการเปิดแนวรบใหม่ทั้งที่สมรภูมิยูเครนกำลังอยู่ในสภาพเสียเปรียบ การเบ่งกล้ามโชว์พลังครั้งนี้จึงถือเป็นการแบ่งรับแบ่งสู้อย่างเหมาะสม รักษาหน้าในเวทีโลกและลดข้อครหาทางการเมืองว่ารัฐบาลอ่อนแอไปพร้อมๆกัน.

ตุ๊ ปากเกร็ด

คลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม