เป็นหนึ่งในผู้นำโลกที่ครองตำแหน่งยาวนานที่สุด สำหรับ “ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี” อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี ซึ่งเพิ่งล่วงลับไปด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ขณะวัย 86 ปี นอกจากจะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เขายังโด่งดังไปทั่วโลกด้วยมุกตลกแบบหยาบโลน และอยู่ในแก๊งเดียวกับผู้นำเผด็จการชั้นนำโลก “มูอัมมาร์ กัดดาฟี” แห่งลิเบีย และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย
ตอนที่ปูตินเปิดฉากรุกรานยูเครน คงมีแต่ “แบร์ลุสโคนี” ที่ปฏิเสธจะประณามผู้นำรัสเซีย ซึ่งขัดกับจุดยืนของประเทศ ฝ่ายปูตินเองก็ชื่นชมยกย่องอดีตผู้นำอิตาลีว่าเป็นเพื่อนแท้ ทั้งฉลาดและมีวิสัยทัศน์ยาวไกล
“แบร์ลุสโคนี” เกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง บิดาเป็นนายธนาคาร ส่วนมารดาเป็นแม่บ้าน เขาร่ำเรียนจบมาด้านกฎหมายจากยูนิเวอร์ซิตี้ออฟมิลาน ขึ้นชื่อว่าเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์โดยกำเนิด มีพรสวรรค์ด้านดนตรี เคยรับจ๊อบเป็นนักร้องบนเรือสำราญ ก่อนจะก่อตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่พลิกชีวิตปูทางสู่เส้นทางมหาเศรษฐีร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งในอิตาลี สร้างอาณาจักรธุรกิจสื่อใหญ่โต โดยเริ่มจากเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์เคเบิล ขยับไปทำช่อง โทรทัศน์ระดับประเทศในยุคที่สื่อของรัฐยังผูกขาดการออกอากาศก่อนจะก่อตั้งสถานีโทรทัศน์เชิงพาณิชย์แห่งแรกของอิตาลีเมื่อปี 1980 จนขึ้นแท่นเป็นเจ้าพ่อสื่อที่ทรงอิทธิพลที่สุดของประเทศ เขายังมีชื่อเสียงจากการกอบกู้สโมสรฟุตบอลเอซี มิลานให้รอดพ้นจากการล้มละลายในปี 1986 โดยรั้งตำแหน่งประธานสโมสร ต่อเนื่องจนถึงปี 2017
เส้นทางการเมืองของ “แบร์ลุสโคนี” เริ่มต้นขึ้นในปี 1994 เมื่อเขาก่อตั้งพรรค “ฟอร์ซา อิตาเลีย” ที่มีแนวคิดอนุรักษนิยม ภาพนักธุรกิจที่ต่างจากนักการเมืองทั่วไปและนโยบายคิดใหม่ทำใหม่ ทำให้เขาคว้าชัยชนะทันทีในสมัยแรก ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอิตาลี 3 สมัยแบบไม่ต่อเนื่อง ทำลายสถิติเป็นนายกฯที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของอิตาลีนับตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่สอง
...
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับอิตาลี และเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของประชาชนอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่ “แบร์ลุสโคนี” ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เยอะถึงความเป็นผู้นำเผด็จการ, ชอบครอบงำสื่อ และการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกฯ สุดท้ายต้องแพ้ภัยตัวเองถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงภาษีในปี 2013 ตัดสิทธิทางการเมือง ห้ามรับตำแหน่งเป็นเวลา 6 ปี และยังต้องเผชิญกับคดีซื้อบริการทางเพศเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวมากมาย แต่เขาย้ำตลอดว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์และโดนสาดโคลนทางการเมือง
ในบรรดาเรื่องอื้อฉาวทั้งหมด ปาร์ตี้มั่วเซ็กซ์ “บุงกา บุงกา” ที่คฤหาสน์นายกฯ “อาคอร์ วิลล่า” ใกล้เมืองมิลาน ถือเป็นตราบาปร้ายแรงที่สุด เหตุเกิดในปี 2010 เมื่อ “แบร์ลุสโคนี” ยกหูไปสถานีตำรวจเพื่อขอให้ปล่อยตัวเด็กหญิงชาวโมร็อกโกวัย 17 ปี ที่ถูกจับในเมืองมิลาน ฐานต้องสงสัยโจรกรรมเครื่องเพชร ขณะนั้นเขาโกหกตำรวจว่าเธอเป็นหลานสาวของประธานาธิบดีอียิปต์ ทำให้การควบคุมตัวเธอไว้อาจก่อให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศ แต่ภายหลังเรื่องดันโป๊ะแตกว่า “สาวน้อยคาริมา เอล มาห์รูก” เป็นนักเต้นระบำหน้าท้อง และต้องสงสัยว่าค้าบริการทางเพศภายใต้ชื่อ “รูบี้ จอมขโมยหัวใจ”
เด็กสาวให้การกับอัยการว่า เธอได้รับเงิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จาก “แบร์ลุสโคนี” ในงานปาร์ตี้ที่เขาจัดขึ้น โดยปาร์ตี้ดังกล่าวคล้ายกับปาร์ตี้มั่วเซ็กซ์ มีหญิงสาวจำนวนมากเปลื้องผ้าและทำพิธีกรรมบางอย่างที่เรียกว่า “บุงกา บุงกา” ผู้หญิงหลายคนที่มาร่วมปาร์ตี้หวังว่าจะได้ออกทีวีช่องใดช่องหนึ่งของท่านนายกฯ เหตุการณ์นี้ถูกขนานนามว่า “รูบี้เกต” ทำให้ “แบร์ลุสโคนี” ตกเป็นจำเลยในข้อหาซื้อบริการทางเพศเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง เมื่อมาห์รูกยืนกรานว่า ไม่เคยทำงานเป็นหญิงค้าบริการทางเพศและไม่เคยมีสัมพันธ์ทางเพศกับผู้นำอิตาลี โดยความเห็นส่วนตัวมองว่าผู้นำอิตาลีเป็นเพียงชายขี้เหงาที่จ่ายเงินเพื่อให้สาวๆมาห้อมล้อม ท่ามกลางการต่อสู้คดียืดเยื้อยาวนาน เมื่อต้นปี 2023 ศาลได้ตัดสินยกฟ้องข้อหาติดสินบนพยานให้โกหกเกี่ยวกับปาร์ตี้สุดฉาว ปิดฉากชีวิตสุดโลดโผนของนายกฯที่มีสีสันที่สุดแห่งยุค.
มิสแซฟไฟร์