รัฐบาลสหรัฐฯรอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ หลังเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. สภาคองเกรสสหรัฐฯประสบความสำเร็จในการผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้สาธารณะของประเทศ ภายหลังจากพรรครัฐบาลเดโมแครตและพรรคฝ่ายค้านรีพับลิกันเจรจาต่อรองกันได้ลงตัวในเรื่องการลดงบประมาณค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หนี้สาธารณะของสหรัฐฯที่สูงถึง 31.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 1,099 ล้านล้านบาท ได้แตะระดับ เพดานการกู้ยืมไปตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา และจะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกในวันที่ 5 มิ.ย.นี้ ซึ่งย่อมสร้างผลกระทบเป็นวงกว้างแก่ตลาดการเงินโลก และจะตามมาด้วยสภาพเศรษฐกิจถดถอย คนตกงานเป็นจำนวนมาก
รัฐบาลสหรัฐฯกำหนดเพดานหนี้ หรือเพดานการกู้ยืมเพื่อป้องกันการใช้จ่ายเกินตัว แต่ตลอดเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯได้ขยายเพดานการกู้ยืมมา อย่างต่อเนื่อง ร่างกฎหมายดังกล่าวทางสภาผู้แทน ราษฎร (ที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมาก) ได้ทำการลงมติด้วยเสียงรับรอง 314 ต่อ 117 เสียง ก่อนที่วุฒิสภา (เดโมแครตครองเสียงข้างมาก) ลงมติรับรองด้วยเสียงสนับสนุน 63 ต่อ 36 เสียง โดยจะให้การกำหนดเพดานกู้ยืมของรัฐบาลสหรัฐฯถูกระงับไปจนถึงวันที่ 1 ม.ค.2568 นั่นหมายความว่า หนี้สาธารณะของสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆหลังจากนี้
นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวแถลงว่า เป็นชัยชนะครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจและประชาชนชาวอเมริกัน ขอยกย่องการตัดสินใจรวดเร็วทันท่วงทีของสภาคองเกรส และตนจะลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า ทั้งพรรครัฐบาลและฝ่ายค้านได้เจรจาต่อรองกันอย่างเข้มข้น โดยพรรครีพับลิกันจะไม่ยอมผ่านร่างกฎหมาย หากรัฐบาลไม่ลดงบ ประมาณรายจ่าย นายไบเดนได้ยื่นข้อเสนอกลับว่า รัฐบาลจะเก็บภาษีคนรวยและเก็บภาษีบริษัทเอกชนเพิ่มเติม แต่รีพับลิกันไม่ยอมรับการเก็บภาษีเพิ่ม ไม่ว่าในรูปแบบใด
...
สองขั้วพรรคการเมืองยังมีการเจรจาเรื่องลดงบประมาณประกันสังคม งบประมาณเกษียณ ไปจนถึงงบประมาณกลาโหมและทหารผ่านศึก แต่สุดท้ายแล้วงบประมาณที่จะถูกตัดส่วนใหญ่เป็นงบประมาณของ “โครงการย่อย” ต่างๆที่จะลดให้ได้ถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือกว่า 52.5 ล้านล้านบาท ภายในกรอบระยะเวลา 10 ปี แต่ทั้งนี้ งบประมาณอาจถูกลดหรือไม่ลดเลยก็ได้ เพราะเป็นการรับปากกันในขั้นต้น และทีแรกรีพับลิกันต้องการให้รัฐบาลลดงบประมาณ 4.8 ล้านล้านดอลลาร์ หรือกว่า 168 ล้านล้านบาท ภายในระยะเวลา 10 ปี.