ทำไมโลกตะวันตกต้องมองว่าแอปพลิเคชันวิดีโอยอดฮิตสัญชาติจีนอย่าง “TikTok” เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ทั้งๆที่ “ติ๊กต่อก” ก็ไม่ต่างจากแอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์ยอดนิยมอื่นๆของอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม และทวิตเตอร์ ซึ่งมีข้อมูลส่วนตัวของคนทั้งโลกอยู่ในมือมากที่สุด ตั้งแต่ชื่อนามสกุล, อายุ, เพศ, อีเมล, เบอร์ติดต่อ ไปจนถึงรูปภาพ, กิจกรรมโปรด และเวลาสถานที่ในการเช็กอิน เรียกว่าไปทำอะไรที่ไหนอย่างไรกับใครโลกรู้หมด ไม่ต้องสืบให้ยาก!!

ปัญหาของ “ติ๊กต่อก” ที่ทำให้ถูกโลกตะวันตกเพ่งเล็งหนัก น่าจะอยู่ที่ความฮิตฮอตอย่างรวดเร็วที่แพร่ระบาดไปทั่วทุกมุมโลก จนถูกมองว่าเป็นเครื่องมือทรงพลังในการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนไปสู่เยาวชนในโลกตะวันตก และเพื่อตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้เทคโนโลยีแดนมังกรได้ครองโลก พี่ใหญ่ผู้วางกติกาโลกมาตลอดอย่างอเมริกา จึงลุกขึ้นโจมตีบริษัทไฮเทคของจีนอย่างต่อเนื่อง เพราะกลัวจะเสียแชมป์มหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกให้กับจีน นี่มันปาหี่การเมืองชัดๆ

ทั้งๆที่อเมริกาเป็นประเทศที่มีข้อมูลของคนทั้งโลกอยู่ในมือมากที่สุด ในฐานะผู้ให้กำเนิดอินเตอร์เน็ต แต่ก็ไม่วายปลุกระดมให้เหล่าพันธมิตรขาประจำช่วยกันรุมกินโต๊ะจีน โดยสหราชอาณาจักร, แคนาดา, นิวซีแลนด์, ไต้หวัน และอียู ตามรอยอเมริกา ออกคำสั่งให้ลบแอปพลิเคชัน “ติ๊กต่อก” ออกจากสมาร์ทโฟนของหน่วยงานรัฐและองค์กรภาครัฐ รวมถึงกำชับเจ้าหน้าที่รัฐให้ลบ “ติ๊กต่อก” ออกจากมือถือส่วนตัว เพื่อป้องกันการถูกล้วงความลับ

ก่อนหน้านี้ ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง “หัวเว่ย” ก็เจอศึกหนัก ถูกสั่งแบนห้ามติดตั้งอุปกรณ์ 5G บนเครือข่ายสื่อสารของหลายประเทศในโลกตะวันตก โดยอ้างว่าเป็นเครื่องมือของรัฐบาลจีนในการสืบความลับต่างๆ ทั้งนี้ รัฐบาลชาติตะวันตกเชื่อว่า อุปกรณ์ไฮเทคของบริษัทจีนมีช่องทางลับสำหรับแอบส่งข้อมูลไปให้รัฐบาลจีน เช่นเดียวกับกล้องวงจรปิดเมดอินไชน่าที่ติดตั้งตามสถานที่ราชการของชาติตะวันตก ก็ถูกมองว่าอาจเป็นเครื่องมือของรัฐบาลจีนในการจารกรรมข้อมูล

...

ถามหน่อยว่าทำไมจีนจะไม่ใช้โอกาสนี้ในการติดตั้งอุปกรณ์ไฮเทคเพื่อสืบความลับบ้าง ในเมื่อชาติตะวันตกก็ทำแบบเดียวกันนี้มาตลอดระยะเวลาหลายปี ตอนที่พวกเขามีโอกาสเข้าไปติดตั้งเครือข่ายโทรศัพท์ทั่วโลก ใครจะรู้ว่าอเมริกาใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้มากี่ทศวรรษแล้ว

เรื่องของเรื่องที่อเมริกาต้องออกมาร้องแรกแหกกระเชอ เพราะกลัวว่า “หัวเว่ย” และ “ติ๊กต่อก” จะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ล้มยาก ที่สามารถเจาะลึกและรวบรวมข้อมูลของคนทั้งโลกมากขึ้นเรื่อยๆจนแซงหน้าตัวเอง กระทรวงต่างประเทศของจีนตอบโต้ว่า การแบน “ติ๊กต่อก” และกิจการเทคโนโลยีต่างๆของจีน เป็นแค่ปาหี่ทางการเมือง เพราะแท้จริงแล้วรัฐบาลอเมริกาต้องการสกัดกั้นและขัดขวางการเติบโตของบริษัทจีน โดยอ้างประเด็นเรื่องความมั่นคงของชาติ

ฟาก “ติ๊กต่อก” ขี้เกียจจะมีเรื่องกับนักเลงใหญ่ผู้คุมกฎโลก จึงพยายามแสดงจุดยืนว่า แม้จะมีบริษัทแม่อยู่ในจีนคือ “ไบท์แดนซ์” แต่ “ติ๊กต่อก” ก็บริหารงานอย่างอิสระจากรัฐบาลจีน โดย “โชว ซื่อ ชิว” ซีอีโอของ “ติ๊กต่อก” เป็นชาวสิงคโปร์ เพิ่งถูกเรียกตัวไปให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการพลังงานและการค้าของสภาผู้แทนราษฎรอเมริกา เกี่ยวกับแนวทางการรักษาความปลอดภัยด้านข้อมูลของ “ติ๊กต่อก” และเคลียร์ข้อกล่าวหาเรื่องสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัฐบาลจีน ท่ามกลางความหวาดระแวงของทางการมะกันที่เชื่อมั่นว่า “ติ๊กต่อก” น่าจะถูกใช้เป็นเครื่องมือสืบความลับทางราชการของอเมริกาให้รัฐบาลจีน

อยากรู้ว่า “ติ๊กต่อก” เป็นภัยคุกคามต่ออเมริกาและโลกตะวันตกแค่ไหน ต้องไปถามผู้ใช้งาน 150 ล้านคนทั่วโลก ที่กำลังติด “ติ๊กต่อก” กันงอมแงม เหมือนที่เคยติดเฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม และทวิตเตอร์...อย่ามาทำตัวขี้แพ้ชวนตี!!

มิสแซฟไฟร์