เมื่อวานผมเขียนถึงภัยของความมั่นคงของประเทศและเผ่าพันธุ์ หากประเทศใดประเทศหนึ่งแอบเก็บระบบข้อมูลสารพันธุกรรม (DNA) ของพลเมืองของประเทศอื่น (เช่นรัสเซียบอกว่ามีหลักฐานที่สหรัฐฯแอบเข้าไปเก็บจากบุคคลในประเทศรอบรัสเซียและจีน)

ปัจจุบันมีโฆษณาทางออนไลน์ ‘รับตรวจดีเอ็นเอ’ ซึ่งโฆษณาเหล่านี้แพร่ไปทั่วโลก เมื่อลูกค้าส่งสิ่งที่ต้องการให้เก็บจากร่างกายไปให้แล้ว บริษัทที่รับจ้างตรวจดีเอ็นเอก็จะส่งรายงานความเสี่ยงในการเกิดโรคพื้นฐาน อุปนิสัยจากพันธุกรรม การออกกำลังกายที่เหมาะสม อาหารที่ควรกิน พาหะของโรคทางพันธุกรรม ระบบการทำงานของสมอง ฯลฯ ไปให้ลูกค้า

มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่าผลตรวจนั้น ‘เป็นของจริงหรือไม่’ เพราะอาจจะเป็นผลที่สร้างกันขึ้นมา หรือเขียนขึ้นมาลอยๆ ก็ได้ แพทย์ท่านหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า หากมีคนจ้างตรวจดีเอ็นเอ 1 หมื่น โดยเก็บค่าตรวจคนละ 5,000 บาท บริษัทได้ค่าตรวจเป็นเงินมากถึง 50 ล้านบาท หลังจากนั้น เป็นไปได้ที่จะมีการเอาข้อมูลของการตรวจดีเอ็นเอหรือสารที่ได้จากร่างกายไป ‘ขาย’ ให้กับหน่วยงาน ของรัฐหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งที่จะใช้ข้อมูลเหล่านี้ในทางความมั่นคงหรือทางธุรกิจ

เมื่อผลการตรวจ (ซึ่งไม่ได้ตรวจจริง) บอกว่ายีนของลูกค้ามีการเผาผลาญดีเลิศ กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ลูกค้าก็อาจจะไม่ระวังในเรื่องการกิน แพทย์ท่านหนึ่งให้คำแนะนำว่า การส่งตรวจดีเอ็นเอ จากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งนั้น ควรส่งโดยโรงพยาบาลรัฐ หรือหน่วยงานวิจัยของรัฐเท่านั้นจึงจะปลอดภัยทั้งระดับบุคคล เผ่าพันธุ์ หรือประเทศชาติ ที่สำคัญที่สุดคือต้องมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานของรัฐจะไม่แอบเอาข้อมูลไปขาย

เรื่องการตรวจดีเอ็นเอนี่อาจจะอันตรายจากทั้ง ‘ข้อมูลมั่ว’ และ ‘ข้อมูลรั่ว’

...

การจัดทำระบบข้อมูลสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ เป็นประเด็นใหญ่ระดับโลกไปแล้วครับ รัฐบาลบางประเทศที่รับผู้อพยพ เก็บรวบรวมข้อมูลสารพันธุกรรมอย่างเงียบๆ และนำไปจับคู่ความคล้ายของเครือญาติจากข้อมูลของเว็บไซต์เกี่ยวกับวงศ์

ชายคนหนึ่งถูกจับได้ว่าเดินทางเข้าแคนาดาด้วยหนังสือเดินทางฝรั่งเศสปลอม และถูกตัดสินเนรเทศ ชายผู้นั้นอ้างว่าตนเป็นชาวกินี ทางการแคนาดาจึงส่งตัวกลับไปที่สาธารณรัฐกินี เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของกินีปฏิเสธไม่ให้เข้าเมือง เพราะพบว่าใช้สูติบัตรปลอม แถมยังพูดฝรั่งเศสซึ่งเป็นภาษาราชการของกินีไม่ได้ หน่วยงานบริการชายแดนแห่งแคนาดาหรือ CBSA จึงสืบบัญชีเฟซบุ๊ก พบว่าชายผู้นี้เป็นชาวแกมเบีย งานนี้ CBSA ใช้การตรวจสารพันธุกรรมหรือ DNA คู่กับการตรวจสอบไบโอเมตริกส์จากลายนิ้วมือและรูปถ่าย

เดือนสิงหาคม 2021 สมาคมวัฒนธรรมและการศึกษาความปลอดภัยจากอัคคีภัยของเกาหลีใต้ฟ้อง 1.ห้องแล็บชีวเคมีในฐานทัพสหรัฐฯ (ประจำเกาหลีใต้) และ 2.ศูนย์ปฏิบัติการทหาร Fort Detrick (อยู่ในสหรัฐฯ) ต่อศาลแขวงปูซาน ข้อหาทำผิดกฎหมายในห้องปฏิบัติการ ตั้งแต่ ค.ศ.2009-2015 กองทัพสหรัฐฯส่งเชื้อแบคทีเรียแอนแทรกซ์ไปยังกองทัพสหรัฐฯที่อยู่ในเกาหลีใต้ 15 ครั้ง มีการเปิดเผยใน ค.ศ.2016 ว่า กองทัพสหรัฐฯในเกาหลีใต้ตั้งห้องปฏิบัติการชีวเคมีที่ท่าเทียบเรือหมายเลข 8 ในท่าเรือปูซาน เรื่องห้องแล็บทางชีวภาพของสหรัฐฯที่มีทั้งหมด 336 ห้องใน 30 ประเทศทั่วโลก เป็นประเด็นที่ทำให้คนส่วนหนึ่งมีความกังวลใจอย่างมาก

แต่ก่อนง่อนชะไร ประเทศที่ด้อยกว่าด้านกำลังทหารและอาวุธมักจะตกเป็นประเทศใต้อาณานิคม ทำให้ทั้งแรงงานมนุษย์และทรัพยากรธรรมชาติถูกขนไปบำรุงความสุขให้คนของประเทศเจ้าอาณานิคม การต่อสู้กันในยุคถัดไปจะเป็นเรื่องของสงครามชีวภาพ ที่ใช้ข้อมูลสารพันธุกรรมหรือ DNA Database ใช้เล่นงานประชาชนของประเทศเป้าหมาย นอกจากเรื่องความมั่นคง ก็อย่างที่ผมเรียนไปแล้วก็คือ ประชาชนที่ตรวจดีเอ็นเอต้องตรวจสอบจนมีความมั่นใจว่า ผลการตรวจนั้น 1. เป็นของจริง และ 2.จะไม่ถูกนำไปขาย

ในทางตรงกันข้าม การตรวจดีเอ็นเอที่ตรงไปตรงมาและไม่ถูกนำผลการตรวจไปขาย จะเป็นประโยชน์กับผู้รับการตรวจมากครับ.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com