ถ้า “สตีฟ จ็อบส์” เปลี่ยนโลกอย่างสิ้นเชิงด้วยการให้กำเนิด Apple และไอโฟน นักคิดนักสร้างสรรค์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนอาทิตย์อุทัย “อิซเซ่ มิยาเกะ” ก็คือผู้พลิกโฉมนวัตกรรมแฟชั่นโลกอย่างแท้จริง ทั้งคู่สนิทสนมกันมาก โดยฝ่ายหลังเป็นคนออกแบบเสื้อสีดำคอเต่าที่กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเจ้าพ่อแอปเปิลและมิยาเกะเพิ่งตามจ็อบส์ไปอยู่บนสวรรค์เมื่อไม่กี่วันนี้เอง
จะมีสักกี่คนในประวัติศาสตร์ที่ได้ขึ้นหิ้งเป็นตำนานให้กล่าวขวัญ!! มรดกสำคัญที่ “มิยาเกะ” ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังจนกลายเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมการแต่งกายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของญี่ปุ่นคือ การทุ่มเทค้นคว้าพัฒนาเทคโนโลยีสิ่งทอใหม่ๆ ทำให้แดนอาทิตย์อุทัยเป็นที่จดจำของชาวโลกในฐานะเจ้าแห่งนวัตกรรมการผลิตเส้นใยอันล้ำสมัย โดยถือเป็นครั้งแรกที่วัสดุไฮเทคอย่าง “โพลีเอสเตอร์” ถูกนำมาสร้างสรรค์เป็นแฟชั่นเสื้อผ้าไฮเอนด์ที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแบบเซน แต่ลุ่มลึกไปด้วยการตีความความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายมนุษย์กับเครื่องแต่งกายอย่างแหลมคม
“หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมออกเดินทางจากโตเกียวไปปารีสเพื่อเรียนแฟชั่น สมัยนั้นแฟชั่นโอต์กูตูร์ของฝรั่งเศสกำลังอยู่ในยุครุ่งเรืองถึงขีดสุด ผมถามตัวเองว่า คนญี่ปุ่นที่ไม่มีแต้มต่ออย่างเรา ทั้งเรื่องรูปร่าง ภาษา และเชื้อชาติ มาทำอะไรอยู่ที่นี่ สุดท้ายก็บอกตัวเองว่า งานดีไซน์ไม่ใช่ปรัชญาชั้นสูง แต่งานดีไซน์คือชีวิตและการค้นพบ ฉะนั้น ผมต้องพยายามค้นคว้าวิจัย ทดลอง และพัฒนา เพื่อเปิดมุมมองใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์ให้เป็นที่ยอมรับของคนจำนวนมาก ย้อนกลับไปมองวันนั้น อันที่จริงอุปสรรคใหญ่ของผมไม่ได้อยู่ที่เกิดเป็นคนญี่ปุ่นแต่ฝันจะออกแบบเสื้อผ้าหรอก ทว่าความยากอยู่ที่การทำให้คนเข้าใจถึงความคิดอันแหวกแนวล้ำยุคของเรา”
...
“อิซเซ่ มิยาเกะ” เกิดวันที่ 22 เม.ย.1938 ที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ตอนอายุ 7 ขวบ เคยหวิดตายมาแล้วจากการหนีระเบิดนิวเคลียร์ถล่มฮิโรชิมา เมื่อปี 1945 เขาร่ำเรียนจบด้านการออกแบบกราฟิกจากมหาวิทยาลัยทามะ อาร์ต ยูนิเวอร์ซิตี้ กรุงโตเกียว ทำวิทยานิพนธ์ในหัวข้อ “บทโคลงกลอนแห่งวัตถุและก้อนหิน” ซึ่งถือเป็นผลงานสร้างสรรค์แรกในชีวิต
หลังสำเร็จการศึกษาในปี 1964 “มิยาเกะ” ตามหาความฝันที่อยากเป็นดีไซเนอร์ด้วยการเดินทางไปกรุงปารีส เพื่อศึกษาต่อที่สถาบันออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้าชั้นสูง “Chambre Syndicale dela Couture Parisience” เขาได้ปลดปล่อยพรสวรรค์ของตัวเองอย่างเต็มที่ โดยเริ่มทำงานเป็นผู้ช่วยดีไซเนอร์ที่ห้องเสื้อกีลาโรช จากนั้นย้ายไปอยู่กับ Givenchy ในปี 1968 และเดินทางกลับมาโตเกียวอย่างมั่นใจในปี 1970
“มิยาเกะ” เปิดตัวคอลเลกชันแรกของเขาในนิวยอร์กเมื่อปี 1971 และได้นำผลงานขึ้นโชว์บนรันเวย์ปารีสแฟชั่นวีกตั้งแต่ปี 1973 นับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครฉุดความดังของเขาได้ ชื่อเสียงของ “อิซเซ่ มิยาเกะ” ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางและมีแฟนๆอยู่ทั่วทุกมุมโลก โดยหนึ่งในผลงานสำคัญที่พลิกโฉมหน้าแฟชั่นโลกคือ การคิดค้นเสื้อผ้าจับพลีตที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นแบรนด์ดัง “PLEATS PLEASE ISSEY MIYAKE” ที่ยังฮอตฮิตติดลมบนจนถึงปัจจุบัน
ด้วยจิตวิญญาณของนักคิดนักสร้างสรรค์ เขารวบรวมประสบการณ์ทั้งหมดจากแดนไกลมาก่อตั้งสตูดิโอของตัวเองภายใต้ชื่อ “The Miyake Design Studio” ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เริ่มทดลองการจับพลีตที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวขณะสวมใส่และง่ายต่อการดูแลรักษา ต่อมาได้คิดค้นเทคนิคใหม่ชื่อว่า “garment pleating” และในปี 1993 เสื้อผ้าชิ้นแรกของ “Pleats Please” ก็ถือกำเนิดขึ้นในโลกแฟชั่น โดยเขาตัดเย็บชุดด้วยเทคนิคจับพลีตแหวกแนวให้คณะแสดง “Ballett Frankfurt” ภายใต้คอนเซปต์ “the Loss of Small Detail” และมีโอกาสร่วมงานกับนักปั้นเซรามิกชาวออสเตรเลีย “ลูซี่ ไร” ผลิตกระดุมจากดินเผาเพื่อตกแต่งเสื้อผ้า ตามมาด้วยการร่วมมือกับ “ไดอิ ฟูจิวาระ” พัฒนาดีไซน์โซลูชันล้ำสมัยไปอีกก้าว ปูพื้นฐานให้ไลน์ใหม่ “A-POC INSIDE”
อย่างไรก็ดี ในปี 1994 และ 1999 “มิยาเกะ” ขอวางมือจากการดีไซน์เสื้อผ้าผู้ชายและผู้หญิงพร้อมส่งไม้ต่อให้ดีไซเนอร์รุ่นหลัง เพื่อกลับไปทุ่มเทเวลาให้งานค้นคว้าทดลองอย่างเต็มที่และจวบจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต ทุกลมหายใจของเขาก็ยังคงอุทิศให้กับการค้นหา ความคิดอันแหวกแนวล้ำสมัย.
มิสแซฟไฟร์