เป็นหนึ่งในหนังสือคลาสสิกขึ้นหิ้งตลอดกาลของ “เดลคาร์เนกี” นักจิตวิทยาชื่อก้องโลกแห่งยุคศตวรรษที่ 20 ซึ่งเชี่ยวชาญที่สุดในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เขาเขียน “จุดอ่อนของมนุษย์” ไว้ตั้งแต่ปี 1930 ถูกแปลออกไป 58 ภาษา และมียอดขายมากกว่า 90 ล้านเล่ม เป็นรองก็แต่คัมภีร์ไบเบิลและคำสอนของขงจื๊อมีปริศนาอะไรซ่อนอยู่ใน “จุดอ่อนของมนุษย์” เขาปูพื้นให้เห็นถึงทักษะพื้นฐานในการปฏิบัติตัวต่อผู้อื่น โดยยึดโยงกับ 3 กุญแจสำคัญคือ ถ้าคุณอยากได้น้ำผึ้ง อย่าตีรังผึ้ง, เคล็ดลับในการอยู่ร่วมกับคนอื่น และการทำให้ตัวเองเป็นที่รักของคนอื่นแค่ 3 ข้อนี้ หากทำได้สำเร็จ ก็สามารถจะเปลี่ยนโชคชะตาได้แล้ว เพราะไม่เพียงช่วยแก้ไขปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น แต่ยังเปิดมุมมองใหม่ๆ สร้างกระบวนทัศน์ใหม่ ตลอดจนเปลี่ยนชุดความคิดความเชื่อเดิมๆ ทำให้คุณเป็นคนใหม่ที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และเป็นที่รักของคนอื่นๆมากขึ้น ในทัศนะของบรมครูด้านความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เชื่อมั่นว่า ยิ่งเราเป็นที่ยอมรับของคนอื่นมากเท่าไหร่ ยิ่งสร้างมิตรภาพใหม่ๆได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ประสบความสำเร็จและร่ำรวยมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าคุณอยากได้น้ำผึ้ง อย่าตีรังผึ้ง” ไม่มีใครชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์ และยิ่งเลวร้ายใหญ่ถ้าโดนรุมวิจารณ์ต่อหน้าคนอื่น การวิจารณ์เป็นสิ่งอันตราย มันเป็นการทำลายศักดิ์ศรี และไม่ให้เกียรติผู้อื่น สิ่งที่คุณจะได้รับตอบแทนคืนมา ไม่ใช่การเปิดใจยอมรับแน่ๆ แต่เป็นการตั้งการ์ดสูง และต่อสู้กลับเพื่อพยายามปกป้องตัวเอง อย่าใช้คำว่า “หวังดี” รุกล้ำพื้นที่คนอื่นเด็ดขาด“เคล็ดลับในการอยู่ร่วมกับคนอื่น” “คาร์เนกี” เชื่อว่า มนุษย์ทุกคนต่างโหยหาอยากได้รับการยอมรับจากผู้อื่น ใครสามารถมอบความปรารถนานี้ให้คนอื่น พวกเขาก็จะสามารถควบคุมคนอื่นได้ จุดอ่อนของมนุษย์ทุกคนคือ ความปรารถนาที่จะเป็นคนเก่ง เป็นที่ยอมรับของคนอื่น และอยากจะได้รับการเคารพ ก็เพราะทุกคนล้วนปรารถนาจะเป็นคนสำคัญ ฉะนั้น คำชื่นชมที่จริงใจนั่นเองที่เป็นกุญแจเปิดใจผู้อื่น เป็นคนละเรื่องกับการพูดประจบสอพลอปากหวานไปวันๆ แต่ลับหลังตั้งวงนินทาใส่ร้ายคนอื่น“การทำให้ตัวเองเป็นที่รักของคนอื่น” เด็กรุ่นใหม่มักถือคติโนสนโนแคร์ อยากทำอะไรก็ทำตามอำเภอใจ แต่ลึกๆแล้วการแสดงออกว่าไม่แคร์โลกไม่แคร์สังคม ก็อาจเป็นความพยายามอย่างหนึ่งที่จะเรียกร้องความสนใจ เพื่อให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับของคนอื่น ในทัศนะของ “คาร์เนกี” เชื่อว่า คนที่รู้จักคิดเพื่อคนอื่น จะไม่จำเป็นต้องกังวลถึงอนาคตของพวกเขาเอง ปกติแล้วคนส่วนใหญ่ 95% ในสังคม มักจะคิดถึงแต่ตัวเอง ถ้าอยากเอาชนะใจคนอื่น ต้องหยุดคิดถึงเรื่องของตัวเองสักพัก แล้วพยายามค้นหาข้อดีของคนอื่น กล่าวชื่นชมพวกเขาด้วยความจริงใจ...ต้องรู้จัก “ให้” สลับกับ “การรับ” มิตรภาพถึงจะงอกเงยได้ ไม่ใช่จ้องจะเป็นฝ่ายรับเอาเปรียบคนอื่นร่ำไปจุดอ่อนของมนุษย์ที่น่ากลัวที่สุดคือ “ความเห็นแก่ตัว” ตั้งแต่เกิดมาบนโลกใบนี้ มนุษย์มักทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง เมื่อพวกเขามีความปรารถนา พวกเขาจะลงมือทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง แล้วถ้าถึงคราวจำเป็นต้องโน้มน้าวคนอื่นให้ทำในสิ่งที่เราต้องการล่ะ คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ เราต้องรู้จักคิดแทนคนอื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำให้เขารู้สึกต้องการทำในสิ่งที่เราแนะนำด้วยตัวเขาเอง เช่น ถ้าไม่อยากให้ลูกสูบบุหรี่ ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกับลูก หรือบังคับขู่เข็ญเขา เราแค่บอกว่าการสูบบุหรี่จะทำให้สูญเสียโอกาสอะไรบ้าง แล้วให้เขาเป็นคนตัดสินใจเองว่ายังอยากจะพ่นควันอยู่ไหม.มิสแซฟไฟร์