นับตั้งแต่มนุษยชาติก้าวออกจากชั้นบรรยากาศโลก มุ่งสู่พรมแดนของ “อวกาศ” เมื่อกว่า 70 ปีก่อน สภาพวงโคจรก็ถูกแปรเปลี่ยนเป็นสมรภูมิขนาดย่อมของเหล่าชาติมหาอำนาจ

ด้วยขณะเดียวกัน รูปแบบการทำสงครามได้ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ซึ่งช่วงนั้นถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากสงครามล้างผลาญ (Attrition Warfare) แบบสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่วัดความอึดของกำลังพลในการดาหน้าเข้ารับกระสุน กลายเป็นสงครามการเคลื่อนที่เร็ว (Mobile Warfare) แบบสงครามโลกครั้งที่ 2 ใช้รถถังยานเกราะ เครื่องบิน ทะลวงเจาะแนวรับของศัตรู

ก่อนข้ามขั้นมาเป็นสงครามข้อมูลข่าวสาร (Information Warfare) ที่ต้องรู้ความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุด (ซึ่งก็เขียนมาตั้งแต่ยุคโบราณ ตำราพิชัยสงครามซุนวู: รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง) ซึ่งตอนนั้นได้ส่งผลให้สหรัฐอเมริกา-สหภาพโซเวียตแข่งขันกันอย่างหนัก โดยเฉพาะด้านข่าวกรองและด้านอวกาศ กลายเป็นที่มาของ “สงครามเย็น” ไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะกลัวที่จะตายตกตามกัน

ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ได้ทำให้เทคโนโลยี “ดาวเทียม” ถูกพัฒนาอย่างก้าวกระโดด หลังพบว่าสามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวของฝั่งตรงข้ามได้อย่างสะดวกโยธิน ไม่จำเป็นต้องส่งเครื่องบินสอดแนมเข้าไปเหนือน่านฟ้าศัตรูเพื่อเก็บข้อมูลความเคลื่อนไหวทางการทหาร ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกสอย นักบินถูกจับรีดข่าว ไม่รวมถึงความปวดหัวในการปฏิเสธความรับผิดชอบ หรือเจรจาขอปล่อยตัว โดยมีอะไรยื่นหมูยื่นแมวแลกเปลี่ยน

จนนำไปสู่โครงการความมั่นคงต่างๆบนห้วงอวกาศ อย่างสหรัฐฯก็เคยปลุกไอเดีย “สตาร์ วอร์ส โปรแกรม” หรือชื่อทางการว่า ความริเริ่มการป้องกันทางยุทธศาสตร์ มีแนวคิดการใช้ดาวเทียมติดอาวุธเลเซอร์ ปืนรางไฟฟ้า และการพัฒนาจรวดต่อต้านดาวเทียมอย่าง ASM-135 ยิงจากเครื่องบินรบอเนกประสงค์เอฟ-15

...

ขณะที่โซเวียตแก้เกมด้วยการวางระบบเดด แฮนด์ หรือชื่อทางการว่า “เปรีมีเตอร์” ระบบยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์แบบอัตโนมัติ สำหรับกรณีที่สายบัญชาการกองทัพถูกอาวุธนิวเคลียร์ของศัตรูทำลายอย่างราบคาบ โดยระบบจะเข้าสู่โหมดเตรียมพร้อม ทันทีที่ได้รับคำสั่งว่าสถานการณ์ความขัดแย้งเข้าสู่ภาวะวิกฤติ จากนั้นจะทำการตรวจจับว่าเกิดแรงสั่นสะเทือนผิวโลก แสง ค่ากัมมันตภาพรังสี ที่เกิดจากอาวุธนิวเคลียร์ของศัตรูระเบิดในแผ่นดินรัสเซียหรือไม่ และยิงขีปนาวุธตอบโต้ไปยังเป้าหมายที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรยากาศความมั่นคงในช่วงหลายทศวรรษก่อนก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง หลังดาวเทียมข่าวกรองรัสเซียตัวเก่าที่ถูกทิ้งไว้บนวงโคจรเกิดการระเบิดเป็นเสี่ยงๆ มีชิ้นส่วนกว่า 1,500 ชิ้นกระจัด กระจายไปในทิศทางต่างๆด้วยความเร็วสูง จนเป็นอันตรายต่อสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) นักบินอวกาศ 7 คน ต้องไปหลบอยู่ในยานชูชีพ เพื่อเตรียมการสละเรือหากตัวสถานีถูกชิ้นส่วนเจาะจนพรุน

ซึ่งต่อมารัฐบาลรัสเซียได้ยอมรับว่าเป็นผลจากการทดสอบขีปนาวุธต่อต้านดาวเทียมรุ่นใหม่ ซึ่งสื่อท้องถิ่นรัสเซียเชื่อว่าเป็นขีปนาวุธรุ่น S–500 “โปรมีเทย์” (โพรมีธีอุส) ที่รัสเซียเพิ่งนำเข้าประจำการเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ทั้งมีขีดความสามารถในการสกัดกั้นได้ตั้งแต่เครื่องบิน ไปจนถึงขีปนาวุธข้ามทวีป แต่นักวิเคราะห์สหรัฐฯ ระบุว่าเป็นอาวุธต้านดาวเทียมอีกตัว ที่มีชื่อว่า เอ–235 นูดอล

ด้านกองบัญชาการทัพอวกาศของสหรัฐฯ (Space Command) ได้จับตาความเคลื่อนไหวของรัสเซียอย่างใกล้ชิด พร้อมประเมินเชิงกล่าวหาว่า รัสเซียมีการพัฒนาศักยภาพด้านความมั่นคงอวกาศอย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากอาวุธที่ยิงจากโลกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศแล้ว ยังครอบครอง “อาวุธอวกาศ” (ในรูปแบบดาวเทียม) ไว้แล้วจำนวนหนึ่ง หลังพบว่าในช่วงเดือน ธ.ค. 2563 ดาวเทียมข่าวกรองของสหรัฐฯได้ถูกสะกดรอยตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า หากจะบังคับให้พุ่งเข้าชนก็ย่อมเป็นไปได้

นอกจากนี้ ช่วงเดือน ก.ค. 2563 รัสเซียยังทำการทดสอบดาวเทียม ที่มีรูปแบบเหมือนตุ๊กตาลูกดก “มาตรอชกา” คือดาวเทียมหนึ่งดวงสามารถปล่อยดาวเทียมดวงเล็กๆ (Sub-Satellite) ออกมาได้อีกหลายดวง ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ดาวเทียมลูกเหล่านี้จะมีคุณสมบัติเป็นอาวุธสังหารด้วยการเข้าปะทะ (Kinetic Kill) เพื่อทำลายดาวเทียมเป้าหมายบนวงโคจร ทั้งยากที่จะพิสูจน์หลักฐาน เพราะชิ้นส่วนที่หลงเหลือจากการชน ก็จะผสมปนเปไปกับเหล่าขยะอวกาศ ที่ปัจจุบันมีจำนวนหลายแสนชิ้น (ขนาด 1-10 เซนติเมตร) หรือหลายล้านชิ้น (เล็กกว่า 1 เซนติเมตร)

ภาพรวมความมั่นคงโลกเริ่มจะกลับมาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หลังมหาอำนาจกำลังค่อยๆฟื้นตัวจากสถานการณ์ไวรัสมรณะ ซึ่งตอกย้ำชัดว่า “สงครามเย็นยุคใหม่” ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกินจริงแต่อย่างใด และนับวันยิ่งทวีความเข้มข้นในหลายมิติ

ขณะที่ทิศทางของแนวรบก็ไม่ได้ถูกจำกัดแค่บก ทะเล อากาศ อีกต่อไป แต่รวมถึงสมรภูมิบนวงโคจร และทะเลแห่งดวงดาวด้วยเช่นกัน.

วีรพจน์ อินทรพันธ์