หากเคยรับชมภาพยนตร์ประเภท “วันสิ้นโลก” อาจเคยได้ยินประโยคว่า เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไป หรือประโยค มนุษย์จะเปลี่ยนแปลงได้ต่อเมื่อยืนอยู่ริมหน้าผา
ถ้อยคำเหล่านี้ คงเรียกได้ว่าไม่เกินจริงแต่อย่างใด เพราะเราได้เดินมาถึงจุดนั้นแล้ว และเป็นที่มาของการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP26 เมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์ ที่มีสหราชอาณาจักรเป็นเจ้าภาพ เพื่อเร่งหาทางแก้ไขก่อนที่สถานการณ์จะย่ำแย่ไปกว่านี้
หลังนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกประเมินชัดเจนว่า ทำยังไงก็ได้ให้ภายในครึ่งศตวรรษนี้ หรือในปี 2593 ต้องมีการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มเกิน 2 องศาเซลเซียส โดยมองง่ายๆว่าแค่ร่างกายคนเราอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส กับอุณหภูมิ 42 องศาเซลเซียส ก็คือเส้นแบ่งระหว่างความเป็นกับความตาย พร้อมพยายามที่จะลดเพดานดังกล่าว ให้เหลือ 1.5 องศาเซลเซียส
มิฉะนั้น ก็เตรียมรับความบรรลัย ก้าวข้ามไปสู่จุดที่เรียกได้ว่า “พอยต์ ออฟ โน รีเทิร์น” เส้นทางที่ไม่สามารถเลี้ยวกลับได้อีก โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบที่ตามมาทางสิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติที่เผชิญกันอยู่จะมีความถี่มากขึ้น ไม่ว่าพายุ น้ำท่วม ดินถล่ม คลื่นความร้อน ไฟป่า
อย่างปีนี้ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ สถานการณ์ในภูมิภาคยุโรปเมื่อช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา ประสบกับเหตุการณ์อุณหภูมิเฉลี่ยเกินมาตรฐานมาเพียง 1 องศาเซลเซียส แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ เจอกับภัยคลื่นความร้อนปกคลุม ในระดับที่เรียกได้ว่า 10,000 ปีจะเกิดขึ้นสักครั้ง ตามมาด้วยไฟป่าในประเทศต่างๆ ทั้งกรีก ตุรกี อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างต่อชีวิตและทรัพย์สิน
...
และแน่นอนว่าอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น ก็ทำให้คนเสียชีวิตก่อนวัยอันควรด้วยเช่นกัน วารสารการแพทย์ “เดอะ แลนเซท” เผยผลวิจัยจัดทำร่วมกันใน 43 ประเทศ 750 เมืองทั่วโลก ระบุว่า ในทุกๆ 10 ปี อุณหภูมิเฉลี่ยของแต่ละประเทศจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.26 องศาเซลเซียส (เวลาร้อนก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ) และสิ่งที่ตามมาคือ ร่างกายรับไม่ไหว เกิดอาการหัวใจวายฉับพลัน เป็นลมหมดสติ เกิดอาการเส้นเลือดในสมอง (สโตรก) ซึ่งตัวเลขที่ปรากฏเรียกได้ว่าน่าตกใจ มีผู้ “เสียชีวิต” จากผลข้างเคียงของสภาพอากาศสูงถึง “5 ล้านคน” ต่อปี
เรียกได้ว่า ตายในระดับเดียวกับตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการจากไวรัสมรณะโควิด-19 ในขณะนี้ (เหยื่อโควิดล่าสุดอยู่ที่ 5.04 ล้านคน) กระนั้นที่มันแย่กว่าก็คือ เป็นการเสียชีวิตในช่วงเวลา 1 ปี ไปเรื่อยๆทุกๆปี ต่างกับโควิดที่เราเผชิญกันมาแล้วเกือบ 2 ปี และพอมาคำนวณให้เห็นภาพ จะเห็นว่าปีละ 5 ล้านคน 5 ปีก็ 25 ล้านคน ที่ต้องเสียชีวิตจากผลกระทบของสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง
ถือเป็นภัยร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ และเป็นเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องมีการกำหนดเป้าหมายกัน 2 ระดับ อารมณ์เดียวกับส่งการบ้านให้ครูตรวจ 2 ชิ้น คือแต่ละประเทศควรลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้ 40–50 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 9 ปีข้างหน้า (ภายในปี 2573) จากนั้นจึงตามมาด้วยการทำให้การปล่อยคาร์บอนทำลายสิ่งแวดล้อมลดลงจนเหลือศูนย์ภายในปี 2593
อย่างไรก็ตาม นับเป็นเป้าหมายที่ทำได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศพัฒนา กลุ่ม “G” จี 20 จี 8 จี 7 ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำทั้งหลาย ที่มีรายได้เกี่ยวพันกับเทคโนโลยีที่ปล่อยคาร์บอน ไม่ว่าถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ จึงเป็นที่มาว่า ตลอดการเจรจาในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่าพิธีสารเกียวโต ความตกลงกรุงปารีส จะมีทั้งประเทศที่ลงนามแบบไม่ผูกมัด หรือถึงขั้นไม่ขอร่วมสังฆกรรมใดๆ
ที่สำคัญ วิกฤตการณ์ไวรัสมรณะป่วนโลกยังส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย อุตสาหกรรมต่างๆถูก “ดิสรัป” เตะตัดขา จนล้มกันระเนระนาด จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบกลับมาปั๊มเงินปั่นตัวเลขกันใหม่ และเป็นที่มาของตัวเลขการปล่อย “คาร์บอน” ตัวทำลายสภาพแวดล้อม ได้กลับมาอยู่ในจุดเดิม ก่อนการอุบัติของไวรัสโควิดกันแล้วในปีนี้ และมีแนวโน้มว่าจะทะลุสถิติ 40,000 ล้านตัน ที่เคยทำไว้เมื่อปี 2562 ทันทีที่อุตสาหกรรมการบิน การขนส่ง เริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ ซึ่งสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่า การปล่อยคาร์บอนโดยภาคอุตสาหกรรมด้านพลังงานจะทุบสถิติสูงสุด ภายในปี 2566
เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน เหล่าผู้นำโลกได้เสนอไอเดียปลูกป่า ทำโครงการพื้นที่สีเขียวต่างๆ ไปจนถึงการจ่ายเงินทดแทน เพื่อที่ประเทศของตัวเองจะได้ไม่ต้องลดการปล่อยคาร์บอน แต่บัดนี้โครงการเหล่านั้น ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ค่อยช่วยอะไร โลกยังมุ่งสู่ทิศทางหายนะเหมือนเดิม จึงเป็นเรื่องน่าสนใจว่าในการประชุมโลกร้อน COP26 ครั้งนี้ ที่จะประชุมกันจนถึงวันที่ 12 พ.ย.นี้ จะมีข้อสรุปกันในรูปแบบใด
โดย ณ ตอนนี้ มีเคาะกัน 2 เรื่องหลัก คือ ให้ “คำมั่น” หยุดทำลายป่า เลิกใช้ถ่านหิน แต่โดยรวมแล้วหลายประเทศก็ยังมี “เครื่องหมายดอกจัน” เงื่อนไขวงเล็บของตัวเองอยู่ดี.
วีรพจน์ อินทรพันธ์