เยอรมนีสร้างสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ.1939 รบกับสัมพันธมิตรอยู่นานถึง 6 ปี ทำให้คนเสียชีวิตมากถึง 55 ล้านคน ในช่วงแรกของสงคราม เยอรมนีเป็นฝ่ายรุกและสามารถยึดครองดินแดนของหลายประเทศในยุโรป แต่หลัง ค.ศ.1942 เป็นต้นมา เยอรมนีเริ่มพ่ายแพ้ และสูญเสียดินแดนที่ยึดครอง จนฮิตเลอร์ซึ่งเป็นผู้นำเยอรมนีตัดสินใจฆ่าตัวตายกลายเป็นผีเมื่อ ค.ศ.1945 ขณะที่กองทัพโซเวียตเข้ายึดกรุงเบอร์ลิน
อีก 1 สัปดาห์ต่อมา จอมพลเรือคาร์ล เดอนิทซ์ ผู้นำคนใหม่ของเยอรมนีก็ประกาศยอมแพ้สงคราม ทั้งเดอนิทซ์และผู้ร่วมรัฐบาล ตลอดจนสมาชิกระดับผู้นำของพรรคนาซีทั้งหมดถูกจับและถูกพิจารณาโทษในการพิจารณาคดีนูเรมเบิร์ก ข้อหาร่วมวางแผนก่อสงครามและข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ หลังจากนั้น เยอรมนีก็ไม่ค่อยโผล่มามีปัญหาขัดแย้งกับใคร
ค.ศ. 1990 สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน (เยอรมนีตะวันออก) ก็เข้ามารวมกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (เยอรมนีตะวันตก) กลายเป็นประเทศเดียวกันอย่างสมบูรณ์ และคนเยอรมันก็หันไปพัฒนาประเทศทางเทคโนโลยี อุตสาหกรรม การเงิน จนเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
ปัจจุบัน เยอรมนีมีเรือฟรีเกตชั้นบรันเดินบวร์กอยู่ 4 ลำ เมื่อวันจันทร์ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีกลาโหมเยอรมันไปยืนเด่นเป็นสง่าเพื่อทำพิธีปล่อยเรือฟรีเกต 1 ลำออกจากท่าเรือวิลเฮมส์ฮาเฟิน โดยมีจุดหมายปลายทางที่จะแล่นผ่านอินโด-แปซิฟิก
เยอรมนีไม่ได้ปิดบังว่าเรือรบลำที่จะแล่นไปในทะเลจีนใต้มีตอร์ปิโดต่อต้านเรือดำน้ำมากถึง 46 ลูก ติดตั้งขีปนาวุธต่อต้านเรือและอาวุธต่อต้านอากาศยานอย่างพร้อมเพรียง แม้ว่ารัฐมนตรีกลาโหมเยอรมันจะเลี่ยงการพูดพาดพิงถึงจีนหรือทะเลจีนใต้ โดยหันไปใช้คำว่า อินโดแปซิฟิก แม้แต่ไอ้ปื๊ดลูกเจ๊น้องก้นซอยสองก็ยังรู้ครับ ว่าพื้นที่อินโดแปซิฟิกที่รัฐมนตรีกลาโหมเยอรมันพ่นผ่านปากออกมาก็คือ ‘ทะเลจีนใต้’ นั่นเอง
...
เพียงปีเดียว สหรัฐฯส่งเรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำร่องเข้ามาป้วนเปี้ยนทางแถบนี้ และแล่นผ่านช่องแคบไต้หวันในทะเลจีนใต้มากถึง 7 ครั้ง โดยครั้งที่ 7 ทำเมื่อกรกฎาคม เดือนที่แล้วนี่เอง ไม่ใช่เฉพาะสหรัฐฯเท่านั้น แม้แต่อังกฤษก็ส่งเรือรบของตนเองเข้ามาในน่านน้ำนี้ด้วย
แม้ไม่ได้ประกาศโอ้อวด แต่ทุกคนก็รู้ว่า จีนกำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านจากมหาอำนาจระดับภูมิภาคไปเป็นมหาอำนาจระดับโลก จีนเพิ่มพันธมิตรกับองค์กรความร่วมมือพหุภาคีมากมายหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น SCO (องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้) และ CICA (ที่ประชุมว่าด้วยปฏิสัมพันธ์และการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในเอเชีย)
จีนพัฒนากองทัพเรือเพื่อปกป้องพื้นที่ที่ตนมองว่าเป็นน่านน้ำประวัติศาสตร์ ที่มีทั้งโขดหิน เนินทราย ในหมู่เกาะพาราเซล สแปรตลี่ ในทะเลจีนใต้ และเตียวหวีไถ (ญี่ปุ่นเรียกเซ็นกากุ) ในทะเลจีนตะวันออก
ค.ศ.2012 ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประกาศนโยบาย Pivot to Asia (หวนมาเน้นเอเชีย) โดยสหรัฐฯจะร่วมมือกับพันธมิตรกับหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เพื่อสกัดกั้นการทะยานและการพัฒนาของจีน
อีกสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้ตะวันตกต้องสกัดจีนก็คือ การที่จีนหันมาพัฒนา Maritime Silk Road (เส้นทางสายไหมทางทะเล) เพื่อเชื่อมจีนกับเอเชียกลาง เอเชียตะวันตก และยุโรป ซึ่งถ้าสหรัฐฯและพันธมิตรปล่อยให้จีนทำได้สำเร็จ จีนก็จะกลับไปยิ่งใหญ่ในทางทะเลอีกครั้ง เหมือนสมัยที่เจิ้งเหอ นักเดินเรือสมัยราชวงศ์หมิงได้ทำสำเร็จมาแล้วในอดีต
ทุกครั้งที่โดนรุมกินโต๊ะ พวกตะวันตกจะชุมนุมสุมหัวกันกินโต๊ะจีนทางเรือ ในห้วง 20 ปีที่ผ่านมา จีนให้ความสำคัญกับนาวิกานุภาพ ทุ่มงบประมาณจนกองทัพเรือจีนมีกำลังพลถึง 3 แสนนายมีทั้งกองเรือทะเลเหนือ (ฐานบัญชาการที่ชิงเต่า) กองเรือทะเลตะวันออก (ฐานบัญชาการที่หนิงโป) และกองเรือทะเลใต้ (ฐานบัญชาการที่จ้านเจียง)
จีนมีเรือรบมากกว่า 500 ลำ ทั้งเรือรบผิวน้ำ เรือดำน้ำเรือยกพลขึ้นบก เรือตรวจการณ์ ฯลฯ
ขณะเขียนหนังสือรับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพ
มีกลิ่นอะไรโชยมาก็ไม่รู้
คล้ายกลิ่นสงคราม.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com