ขณะที่ประเทศไทยกำลังถกเถียงกันถึงประสิทธิภาพของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ ย้ำว่าประเทศไทย เพราะประเทศอื่นไม่ค่อยมีข่าวในเรื่องเหล่านี้มากนัก ชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นอิสราเอล ที่วันนี้ สามารถฉีดวัคซีนแบบครบ 2 โดส ให้ประชากรไปแล้วมากกว่า 60% ของประชากรทั้งประเทศ และตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา อิสราเอล ยังไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มจากโควิด-19 แม้แต่คนเดียว“ผมทั้งประทับใจและทึ่งกับความตั้งใจของ เบนจามิน เนธานยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล เขาโทร.หาผมถึง 30 ครั้ง เพื่อเจรจาขอซื้อวัคซีน หว่านล้อมทุกวิถีทางว่า อิสราเอลเป็นประเทศที่เหมาะสมที่สุดที่สมควรจะได้ใช้วัคซีนของไฟเซอร์” อัลเบิร์ต บูร์ลา ซีอีโอของ Pfizer พูดถึงการตัดสินใจขายวัคซีนให้กับอิสราเอล จนกลายเป็นชาติแรกๆในโลก ที่สามารถเปิดประเทศได้และยังเป็นชาติแรกในโลกที่ประกาศให้ประชาชนไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่กลางแจ้งในการดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน สิ่งที่รัฐบาลอิสราเอลทำควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีน คือ การทำวิจัย โดยทีมวิจัยจากสถาบันวิจัยคลาลิทของอิสราเอลและมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ล่าสุดใน วารสารการแพทย์ New England Journal of Medicine ระบุว่า จากการติดตามผลจากประชาชนเกือบ 1.2 ล้านคนในอิสราเอล พบว่าวัคซีนที่ฉีดให้กับประชาชน 596,618 คน ครบทั้ง 2 โดส ในช่วงวันที่ 20 ธ.ค.2563-1 ก.พ.2564 สามารถป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้ถึง 94% โดย 1 ใน 4 ของประชาชนกลุ่มนี้เป็นคนอายุมากกว่า 60 ปีบูร์ลา เปิดเผยถึงบทสนทนาระหว่างเขากับนายกรัฐมนตรี เนธานยาฮู ว่า ผู้นำอิสราเอลมีความมุ่งมั่นและใช้ความพยายามอย่างมากในการโน้มน้าวให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องเลือกอิสราเอลในการขาย โดยนายกรัฐมนตรีเนธานยาฮู ยืนยันว่า ถ้าเราขายวัคซีนให้ เขาจะทำการแจกจ่ายวัคซีนอย่างดี ต้องได้รับวัคซีนในปริมาณที่เพียงพอและไม่ขาดตอน” ซีอีโอไฟเซอร์ เล่าพร้อมกับบอกว่า มันเป็นเรื่องสำคัญมากในภาวะที่เราต้องเลือกประเทศในการเป็นสนามทดสอบประสิทธิภาพวัคซีน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญจำเป็นที่สุดสำหรับมนุษยชาติ ในสถานการณ์เช่นนี้“ความไม่ลดละของผู้นำประเทศ คือ สิ่งที่ผมประทับใจ เราตอบตกลงและเริ่มจัดส่งวัคซีนให้ตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมปีที่แล้ว และวันนี้ อิสราเอลก็ทำตามสัญญา คือ สามารถฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้เกินครึ่งประเทศแล้ว ทำให้เรามีข้อมูลผลการใช้งานวัคซีนที่เพียงพอ” ซีอีโอไฟเซอร์ บอก พร้อมกับให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทีมวิจัยจากสถาบันวิจัยคลาลิทของอิสราเอลและมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งรายงานถึงผลการศึกษาประสิทธิภาพวัคซีนของไฟเซอร์ อิงค์และบิออนเทค พบว่า วัคซีนของเราสามารถป้องกันโควิด-19 ได้ถึง 94% และสิ่งที่ได้จากการวิจัยอีกด้าน ก็คือ การฉีดวัคซีนให้ประชาชนในสัดส่วน 60-70% เพียงพอต่อการป้องกันโรคโควิด-19 รวมถึงลดอัตราการป่วยและเสียชีวิต ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติเร็วขึ้นอัลเบิร์ต บูร์ลา CEO คนปัจจุบันของ Pfizer บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ที่มีอายุยาวนานถึง 172 ปี ถือเป็นบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ในการพัฒนาวัคซีนสำหรับป้องกันโควิด-19 ที่ได้ประสิทธิผลสูงเป็นรายแรกของโลกโดยผ่านการ ทดลองเฟสสามมาตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน และได้รับอนุมัติให้ใช้ในวงกว้าง เป็นที่ต้องการของรัฐบาลทั่วโลกHarvard Business Review ตีพิมพ์บทความที่เขียนโดย Bourla เมื่อเร็วๆนี้ เผยความคิดและการตัดสินใจสำคัญของผู้บริหาร Pfizer ในการตัดสินใจที่สุ่มเสี่ยงอย่างมากในสถานการณ์นี้“ย้อนกลับไปมองแล้ว การตัดสินใจนี้ไม่ง่ายเลย เพราะถ้าหากล้มเหลว Pfizer จะสูญเสียเงินจำนวนมาก ต้องทำลายวัคซีนหลายล้านโดสทิ้งฟรีๆ แต่ผมมองว่าสิ่งสำคัญคือการนำ ‘Purpose’ เป็นตัวตั้งก่อน และเชื่อว่าภาคเอกชนมีส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนสังคม โดยคิดถึงผู้ป่วย (ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์) ก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ ผมคิดว่าการตัดสินใจเป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งสำหรับผู้บริหาร พนักงาน องค์กร และอุตสาหกรรม แม้ว่ามันอาจจะล้มเหลวก็ตาม”โดยปกติแล้ว วัคซีนใหม่อาจใช้เวลาพัฒนาและขอรับรองจนใช้งานได้จริงเป็นระยะเวลานานถึง 10 ปี แต่ Pfizer สามารถทำให้สำเร็จได้ภายในเวลาไม่ถึงปี ทำสิ่งที่ดูเป็นไปแทบไม่ได้ให้เป็นไปได้ และกำลังเดินหน้าผลิตวัคซีนให้ได้เกิน 2 พันล้านโดสภายในปีนี้ บูร์ลา ทำงานกับ Pfizer มานานถึง 27 ปี การตัดสินใจของเขาในปี 2020 ในการรับมือกับ COVID-19 เป็นบททดสอบสำคัญที่พวกเขาติดตามตั้งแต่เดือนมกราคม ตอนที่เพิ่งเกิดการระบาดใหม่ๆ ในประเทศจีน และรับรู้ว่า Pfizer จะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยแก้ไขปัญหานี้Bourla เขียนว่า “เมื่อตั้งเป้าหมายที่ใหญ่ เราต้องกระตุ้นให้คนคิดออกนอกกรอบ เหนือกว่าสิ่งที่เคยเป็นในปีก่อนๆ พวกเขาจะพยายามถามหาทางเลือกใหม่ๆเสมอ จนผู้คนติดนิสัยและระดมความคิดเห็นกันเอง”ประโยคที่เขาเขียนไว้ในตอนท้ายๆของบทความ และกลายเป็นที่กล่าวขานอย่างมาก คือ บูร์ลา บอกว่า ผู้คนหลายฝ่ายต่างคาดหวังและสร้างแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนักหน่วง Pfizer ตัดสินใจไม่รับเงินทุนจากรัฐบาล เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์เป็นอิสระต่อระบบราชการ“การร่วมมือกันในภาวะวิกฤติ แม้ทุกคนจะทำงานด้านวิทยาศาสตร์แยกกันได้อย่างอิสระ แต่การแก้ปัญหายากๆเช่นนี้ เราควรคิดว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของ Ecosystem และร่วมมือกัน เหมือนกับทิศทางของโลกธุรกิจทุกวันนี้ที่ควรทำลาย Silos ทิ้งเสีย”วลีเด็ดที่สุด ที่ซีอีโอ Pfizer ฝากไว้ ที่อยากให้ดังถึงหูผู้นำหลายๆ ประเทศ ก็คือ“ผู้นำที่ดีควรคิดเพื่อประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าตัวเองหรือพรรคพวก”.