เมื่อวันที่ 20 เม.ย. ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนได้เรียกร้องให้มีการจัดการกิจการทั่วโลกอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้นและปฏิเสธการเป็นมหาอำนาจที่คอยกำกับดูแลครอบงำโลกของสหรัฐฯ ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีนในหลายประเด็นตั้งแต่สงครามการค้า และเทคโนโลยี การละเมิดสิทธิมนุษยชน ไปจนถึงประเด็นไต้หวัน ฮ่องกง และทะเลจีนใต้
ในการประชุมโป๋อ่าว ฟอรั่ม ฟอร์ เอเชีย ประจำปี ในมณฑลไห่หนาน ทางตอนใต้ของจีน ที่ถูกมองว่ามีความสำคัญเทียบเท่ากับการประชุมสภาเศรษฐกิจโลก ที่เมืองดาวอส ในสวิตเซอร์แลนด์ ผู้นำจีนได้กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดผ่านวิดีโอกับเจ้าหน้าที่และผู้บริหารธุรกิจมากกว่า 2,000 คน โดยมีผู้นำระดับโลกและหัวหน้ากองทุนการเงินระหว่างประเทศและสหประชาชาติร่วมพิธีเปิดด้วยระบบออนไลน์ เรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบการปกครองโลกที่มีมานาน ให้สอดคล้องกับมุมมองและค่านิยมที่หลากหลายของประชาคมระหว่างประเทศ แทนที่จะเป็นของประเทศใหญ่ๆไม่กี่ประเทศ โดยได้ระบุว่า โลกต้องการความยุติธรรมไม่ใช่ความเป็นเจ้าโลก
ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ ก็เพิ่งจัดการประชุมสุดยอดที่ทำเนียบขาวแบบตัวต่อตัวครั้งแรกกับนายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูกะ ของญี่ปุ่นเมื่อ 16 เม.ย.โดยผู้นำทั้ง 2 ต่างแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในฮ่องกงและภูมิภาคซินเจียงของจีน ซึ่งสหรัฐฯกล่าวหาว่ารัฐบาลจีนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมอุยกูร์ นอกจากนี้ ยังแสดงความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อการกีดกันจีน โดยจะร่วมกันลงทุนในด้านต่างๆเช่นเทคโนโลยี 5G ปัญญาประดิษฐ์ คอมพิวเตอร์ควอนตัม จีโนมิกส์ และห่วงโซ่อุปทานสำหรับผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์
ผู้นำจีนยังเสนอให้มีการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจทั่วโลกให้มากขึ้น และเตือนไม่ให้มีการตัดขาดแยกจากกัน เพราะนอกจากจะขัดต่อหลักการทางเศรษฐกิจและการตลาด ยังไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้ใด พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯและพันธมิตรหลีกเลี่ยงการบงการผู้อื่น ไม่ควรกำหนดกฎเกณฑ์ต่อประเทศอื่น กิจการระหว่างประเทศควรดำเนินการโดยวิธีการเจรจา พูดคุยและทุกประเทศควรมีส่วนในการตัดสินอนาคตร่วมกัน
...
อย่างไรก็ตามแม้จะขัดแย้งกันอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งสหรัฐฯและจีนได้ร่วมกันต่อสู้กับการเปลี่ยน แปลงสภาพภูมิอากาศ โดยนายจอห์น เคอร์รี ทูตพิเศษด้านสภาพภูมิอากาศของสหรัฐฯ ได้ไปร่วมประชุมที่เซี่ยงไฮ้ เมื่อสัปดาห์ก่อน และตกลงในการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมเพื่อร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก.