ความไม่เท่าเทียมกันทางความมั่งคั่งในสังคมมนุษย์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ต้นกำเนิดก็มาจากการพัฒนาด้านผลิตอาหาร ซึ่งผลผลิตส่วนเกินทางการเกษตรทำให้บางคนมีอำนาจควบคุมจัดสรรทรัพยากรที่ไม่ได้สัดส่วน สามารถบังคับหรือชักชวนผู้อื่นให้จัดหาแรงงานและสินค้า เพื่อเพิ่มความไม่เท่าเทียมกันของความร่ำรวยมั่งมี การพยายามทำความเข้าใจถึงความไม่เท่าเทียมกันในสังคมโบราณ เป็นสิ่งที่นักวิจัยสนใจศึกษา ล่าสุด ซากปรักหักพังของชาวมายาที่เบลีซ ในอเมริกากลางดูจะไขความกระจ่างได้ ทีมวิจัยนำโดยนักโบราณคดีจากพิพิธภัณฑ์ฟิลด์ ในสหรัฐอเมริกา เผยว่า ซากบ้านจำนวนมากที่ขุดพบในสถานที่ 2 แห่งทางตอนใต้ของเบลีซ ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกถึงความไม่เท่าเทียมกันทางความมั่งคั่งในเมืองมายาโบราณ ทีมระบุว่าบ้าน 180 หลังตั้งอยู่ในเมืองขนาดกลางอย่าง Uxbenká ส่วนอีก 93 หลังตั้งอยู่ใน Ix Kuku’il เมืองเล็กๆใกล้เคียง ทั้ง 2 เมืองนี้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคคลาสสิก มายา (Classic Maya) ตั้งแต่ ค.ศ.250-900 ในช่วงเวลานี้เองชาวมายาได้สร้างพีระมิดสูงตระหง่าน สร้างประติมากรรมและภาพวาดที่น่าอัศจรรย์ มีการจารึกอักษรอียิปต์โบราณ นอกจากนี้ ยังเชี่ยวชาญในการทำปฏิทินและคำนวณ ขณะที่สังคมประกอบไปด้วย กษัตริย์ ขุนนาง พ่อค้า ช่างฝีมือ ชาวนาและแรงงานจำนวนมากการวัดความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมทางฐานะ ก็เช่นเรื่องของขนาดและลักษณะโครงสร้าง พบว่าความไม่เท่าเทียมกันปรากฏไปทั่วพื้นที่ บ้านหลังใหญ่จะมีสถาปัตยกรรมที่ประณีตกว่า อุดมด้วยสมบัติพัสถาน ทั้งสินค้านำเข้า ของฟุ่มเฟือย เช่น หยก เปลือกหอย เครื่อง ประดับส่วนตัว และแก้วภูเขาไฟหรือหินออบซิเดียน โดยที่บ้านหลังใหญ่ๆ จะล้อมรอบด้วยบ้านหลังเล็กๆ ในละแวกใกล้เคียง โดยห่างไกลจากใจกลางเมือง.