วัคซีนกำลังทยอยมาอย่างต่อเนื่อง เสียงแห่งความหวังที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตแบบปกติอีกครั้ง เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆในประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย สำหรับบ้านเราหากไม่มีอะไรผิดพลาด เป็นไปตามกำหนดการ ก็คงเริ่มฉีดกันตั้งแต่เดือน มี.ค.เป็นต้นไป และคงกระจายฉีดกันแบบทวีคูณกันในเดือน พ.ค.-มิ.ย. หลังจากเราผลิตของได้เอง

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องเน้นย้ำว่า ถึงจะมีคนฉีดกันไปเป็นหลักล้านแล้ว แต่ต้องอย่าลืมว่า “สถานการณ์การแพร่ระบาด” ยังคงไม่หายไปไหน มีโอกาสติดเชื้อได้อยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจากคลัสเตอร์ภายในประเทศหรือที่มาจากต่างประเทศ ทั้งกรณีเชื้อเพิ่งแสดงอาการหลังออกจากสถานกักตัว หรือเล็ดรอดข้ามพรมแดน

อย่างที่สหรัฐอเมริกาจุดศูนย์กลางการแพร่ระบาดอันดับ 1ของโลก ที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มต่อเนื่องเฉียด 30 ล้านคน เสียชีวิตรวมทะลุ 534,000 คน ก็ยังไม่ทราบคำตอบภาวะปกติจะกลับมาเมื่อไรแม้จะมีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา ไปแล้วเกิน 50 ล้านคน

เขามีคำถามสำคัญเกิดขึ้นว่า เมื่อไรที่จะไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยอีกต่อไป? เพราะอย่างช่วงสัปดาห์ก่อน ทางผู้ว่าการรัฐเท็กซัสและมิสซิสซิปปีได้ประกาศให้ประชาชนถอดหน้ากากเปิดเมืองเต็มรูปแบบ แต่สุดท้ายก็เป็นประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่กล่าววิจารณ์เละว่า เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอันใหญ่หลวง สิ่งสุดท้ายที่เราต้องการในตอนนี้คือ คนที่มีความคิดแบบมนุษย์ยุคหินสูญพันธุ์ และคนที่คิดว่าทุกอย่างมันโอเค

...

แน่นอนจากผลการทดสอบในห้องแล็บ ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อในเบื้องต้นว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว สามารถไปสังสรรค์พบปะกับ “ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วเหมือนกัน” ได้ตามปกติ จะนัดเจอไปเที่ยวคอนเสิร์ต เข้ายิม รับประทานอาหารร่วมโต๊ะ ก็ตามสบาย เพราะคุณลักษณะของวัคซีนชนิดต่างๆในตอนนี้ที่เหมือนกันคือ ช่วยทำให้ผู้ติดเชื้อไม่ต้องเสี่ยงที่จะปอดพัง เข้าพักฟื้นในโรงพยาบาล หรือถึงขั้นเสียชีวิต

ไม่ว่าจะประสิทธิภาพที่ประกาศกันปาวๆว่า 60 เปอร์เซ็นต์ 70 เปอร์เซ็นต์ หรือ 90 เปอร์เซ็นต์ ก็มีค่าเท่ากัน ถึงติดเชื้อไป ภูมิคุ้มกันก็เอาอยู่ อาจจะครั่นเนื้อครั่นตัวบ้าง แต่ไม่ต้องนอนเตียงสวมท่อออกซิเจน

การเน้นย้ำว่าพบปะเจอกันได้เฉพาะคนที่รับวัคซีนนั้น มีสาเหตุว่านักวิจัยยังไม่ได้ทดสอบอย่างชัดเจนว่า วัคซีนโควิด-19 ในขณะนี้ สามารถป้องกันการ “ติดเชื้อ” ได้มากน้อยเพียงใด อย่างในอดีตวัคซีนสำหรับไข้หวัดใหญ่ โรตาไวรัส โปลิโอ โรคไอกรน ก็ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อร้อยเปอร์เซ็นต์

และประเด็นที่น่าสนใจ คนที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว ยังสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้หรือไม่ โดยกลุ่มนักไวรัสวิทยามหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เผยว่า การทดสอบวัคซีนโควิดต่างๆที่ผ่านมานั้น ดูเฉพาะผลลัพธ์ว่าลดการติดเชื้อในปอดได้ดีมากน้อยเพียงใด (ตอนนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วน) ไม่ได้สนใจว่าไวรัสที่อยู่ในลำคอและโพรงจมูกยังมีฤทธิ์อยู่ในระดับไหน ตอนนี้เท่าที่ทราบคือทางไฟเซอร์และโมเดอร์นาได้มีการทดสอบในลิงวอก ด้วยการฉีดวัคซีนต้านไวรัส จากนั้นก็ทำให้ลิงติดเชื้อ ซึ่งผลปรากฏว่าลิง 7ตัวใน 8 ตัว ไม่พบเชื้อในโพรงจมูกและลำคอ

ขณะที่รัฐบาล “อิสราเอล” มีการติดตามผลผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนราว 600,000 คน เบื้องต้นพบว่าหลังฉีดเข็มแรก อัตราการติดเชื้อได้ลดลง 46 เปอร์เซ็นต์และเมื่อได้รับเข็มสอง อัตราการติดเชื้อก็ลดลงถึง 92 เปอร์เซ็นต์ แต่ท้ายสุดแล้วก็ยังไม่ทราบอยู่ดีว่าคนเหล่านี้หอบเชื้อไปแพร่ให้ผู้อื่นได้อีกหรือไม่ กระนั้นก็มีรายงานแล้วว่าศูนย์มะเร็งเฟรดฮัตชินสัน ในนครซีแอตเติล อาจทดสอบทฤษฎีดังกล่าว ด้วยการจับตาความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มีร่างกายแข็งแรง

แต่ทั้งหมดก็ยังไม่รวมถึงตัวแปรที่อาจจะมาเปลี่ยนสมการ นั่นคือ “ไวรัสกลายพันธุ์” ที่สามารถรับมือกับภูมิคุ้มกันของผู้ที่เคยติดโควิดตัวเก่า ทำเอาวัคซีนบางชนิดใช้ไม่ได้ผล และขณะนี้ผุดขึ้นมาเรื่อยๆตามประเทศต่างๆ ทั้งจากอังกฤษ แอฟริกาใต้ บราซิล

จึงสรุปได้ว่า ตราบใดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ เรื่องคนฉีดวัคซีนเป็นพาหะเสียเองหรือไม่ ความรัดกุมก็ยังต้องมีไว้ เหมือนดังที่หมอแอนโธนี เฟาซี ที่ปรึกษาใหญ่ด้านโรคติดต่อทำเนียบขาวสหรัฐฯ ประเมินว่าผู้คนยังต้องสวมหน้ากากอนามัยกันต่อไป โดยไทม์ไลน์เชื่อว่าน่าจะยาวไปถึงปีหน้า 2565 นั่นเอง

หรือองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ประกาศไว้ว่า ไวรัสไม่จบปีนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังเพิ่มขึ้นทั้งในอเมริกา ยุโรป เมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้...ย้ำชัดนานาชาติไม่ควรพึ่งแต่วัคซีน ต้องใช้มาตรการป้องกันทางสาธารณสุขควบคู่ไปด้วยเช่นกัน.

วีรพจน์ อินทรพันธ์