ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศปลดนายคริส เครบส์ ผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงทางไซเบอร์ และโครงสร้างพื้นฐานของกระทรวงความมั่นคง มาตุภูมิสหรัฐฯ ผ่านทางทวิตเตอร์ในวันที่ 17 พ.ย. โดย กล่าวหาว่า เครบส์ให้ความมั่นใจกับประชาชนในแถลงการณ์ว่าการเลือกตั้งเป็นไปอย่างเรียบร้อยและปลอดภัยนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ทั้งที่มีการโกงอย่างมากมาย รวมถึงกรณีที่มีการลงคะแนนเสียงจากคนตาย ผู้สังเกตการณ์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสถานที่เลือกตั้ง และความผิดพลาดของเครื่องลงคะแนน ที่พลิกคะแนนเสียงจากทรัมป์เป็นไบเดน ทั้งนี้ ทาง ทวิตเตอร์ได้ขึ้นข้อความเตือนสีแดง ระบุไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวอ้างเรื่องการโกงการเลือกตั้ง
ผู้นำสหรัฐฯไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งและอ้างการโกงอย่างกว้างขวาง ทั้งที่เจ้าหน้าที่ต่างยืนยันว่าไม่พบความผิดปกติดังกล่าว ที่ผ่านมาผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทั่วประเทศและผู้แทนจากทั้ง 2 พรรคต่างยกย่องการทำงานของเครบส์ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา ขณะที่ทรัมป์วิจารณ์ถึงความปลอดภัยของการลงคะแนนทางไปรษณีย์มาตลอด หน่วยงานของเครบส์ได้โต้ว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัย ในการเลือกตั้ง 3 พ.ย. มีการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์สูงเป็นประวัติการณ์จากการระบาดของโควิด-19 เจ้าหน้าที่ความมั่นคงและนักวิจารณ์ในทำเนียบขาวต่างผิดหวังในการกระทำของทรัมป์ ขณะที่เครบส์ทวีตว่ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับใช้ประเทศและยืนยันว่าทำสิ่งที่ถูกต้อง
ทางด้านไบเดนได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ด้านการดูแลสุขภาพที่รับมือวิกฤติโควิด-19 ในการประชุมแบบเสมือนจริงในวันที่ 18 พ.ย. ให้คำมั่นว่าวิกฤติโควิด-19 เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วนเมื่อเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.2564 บรรดาที่ปรึกษาระดับสูงต่างออกมาเตือนว่าการที่รัฐบาลของทรัมป์ปฏิเสธที่จะร่วมมือกับทีมของไบเดนจะเป็นอันตรายต่อการควบคุมโควิด-19 และยับยั้งแผนการกระจายวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ทรัมป์ยังมุ่งมั่นต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อคว่ำผลการเลือกตั้งอย่างไม่ลดละในวิสคอนซิน ซึ่งไบเดนเป็นผู้นำด้วยคะแนนเสียงมากกว่า 20,000 เสียง ทีมหาเสียงของทรัมป์ต้องตัดสินใจว่าจะจ่ายเงิน 7.9 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่คณะกรรมการการเลือกตั้งของรัฐประเมินสำหรับการนับคะแนนใหม่หรือไม่ ส่วนที่จอร์เจีย ซึ่งไบเดนเป็นเดโมแครตคนแรกที่ชนะในรัฐนี้นับแต่บิล คลินตัน ในปี 2535 กำลังดำเนินการนับคะแนนใหม่
...
ไบเดนยังได้คุยกับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ให้คำมั่นจะกระชับความสัมพันธ์ และยังได้สนทนากับนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย หวังจะร่วมมือในการรับมือโควิด-19 ความมั่นคงในภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และเสริมสร้างประชาธิปไตย.