ระบบที่ว่าดีเยี่ยม แต่เจอคนไร้จริยธรรม ก็ทำเอารวนได้เหมือนกัน อย่าง “สหรัฐอเมริกา” ณ เพลานี้ ที่กระบวนการโอนถ่ายเก้าอี้ อยู่ในสภาพตะกุกตะกัก หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกิดอาการหวงอำนาจ ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างสง่างาม แม้ผลได้ออกมาชัดเจนแล้วว่าโจ ไบเดน ครองเสียงคณะผู้เลือกตั้งส่วนใหญ่ ได้เป็นผู้นำแดนพญาอินทรีคนต่อไป

บรรยากาศที่นักการเมืองรู้แพ้รู้ชนะ ได้แปรสภาพกลายเป็นเอาชนะคะคานอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองยุคใหม่อเมริกา ทรัมป์แสดงจุดยืนสู้ยิบตา โหมกระแสถูกปล้นชัยชนะ ให้ประชาชนแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ใครไม่ใช่พวกคือตื้นเขิน-ถูกล้างสมอง ควบคู่ไปกับการเดินเกมฟ้องศาล ใช้กระบวนการยุติธรรม

ข้อมูลจากแหล่งข่าววงใน ที่สำนักข่าวแอกซิออสและซีเอ็นเอ็นนำมารายงานระบุว่า ทีมทรัมป์กำลังปฏิบัติการ “ไอโอ” ข้อมูลข่าวสาร ให้ประชาชนอยากยุบสื่อกระแสหลัก พร้อมมีการเสนอไอเดียว่า เป็นไปได้หรือไม่ ในการหาหนทางให้คณะผู้เลือกตั้งในรัฐต่างๆ ไม่โหวตเลือกไบเดนตามเสียงคะแนนดิบของประชาชน

ในเรื่องนี้ ข้อมูลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ได้เขียนไว้ว่าตามกรรมวิธีแล้ว ผู้ที่ได้รับเลือกเป็น “คณะผู้เลือกตั้ง” จะต้องทำตามเจตนารมณ์ของประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงหรือที่เรียกว่าป๊อปปูลาร์โหวตในแต่ละรัฐ คือลงคะแนนให้กับประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีตามที่ประชาชนต้องการ ในวันที่ 14 ธ.ค.

ผู้เลือกตั้งจะต้องลงคะแนนเสียงให้ประธานาธิบดี 1 คะแนน และรองฯ 1 คะแนน ซึ่งถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ บทแก้ไขเพิ่มเติมที่ 12 หากไม่มีใครได้รับเสียงเกินเกณฑ์ 270 เสียง จากทั้งหมด 538 เสียง การเลือกตำแหน่งประธานาธิบดีจะเป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร เลือกรองประธานาธิบดีเป็นหน้าที่ของวุฒิสภา

...

โดยขั้นตอนปฏิบัติอย่างเป็นทางการคือ หลังจากทราบผลการเลือกตั้ง แต่ละรัฐจะต้องจัดทำใบรับรองผลเลือกตั้ง 7 ใบ (Certificates of Ascertainment) ที่เขียนชื่อผู้นำ-รองฯ รวมถึงผู้เลือกตั้งที่ระบุว่าจะลงคะแนนให้ใคร และจำนวนคะแนนที่ผู้คว้าชัยชนะจะได้รับ ประทับด้วยตราประจำรัฐ (State Seal) พร้อมลายเซ็นของผู้ว่าการรัฐ

ใบแรกจะถูกส่งไปเก็บไปเป็นประวัติศาสตร์ที่หอจดหมายเหตุ อีก 6 ใบจะเก็บไว้สำหรับคณะผู้เลือกตั้งในวันประชุม จากนั้นจะไปรวมตัวพบปะกันในเมืองเอกของแต่ละรัฐ เพื่อทำหน้าที่ลงคะแนนเสียงเลือกประธานาธิบดีกับรองประธานาธิบดี การประชุมจะเป็นแบบเปิดเผยทำหน้าที่โดยเลขานุการรัฐ หรือผู้มีตำแหน่งเทียบเท่า ที่จะอ่านใบรับรองและรายชื่อว่ามีใครบ้างต้องทำหน้าที่ลงคะแนน

ต่อมาคณะผู้เลือกตั้งแต่ละรัฐ จึงทำใบประกาศผลลงคะแนน 6 ใบ (Certificates of Vote) เซ็นชื่อรับรองโดยผู้เลือกตั้งทุกคน และแนบด้วยใบรับรองผลการเลือกตั้ง 6 ใบก่อนหน้านี้ รวมเป็น 6 ชุด โดยชุดแรกส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนไปยังประธานวุฒิสภา เพื่อเตรียมรับคะแนนแล้วประกาศผล อีก 2 ชุดส่งไปยังผู้จัดเก็บเอกสารแห่งชาติ เพื่อเก็บไว้ถาวร และเผื่อสำหรับกรณีชุดที่ส่งไปยังประธานวุฒิสภาหายหรือไม่สมบูรณ์

ส่วนที่เหลือจะถูกส่งไปยังเลขานุการรัฐ ไว้สำรองและเพื่อให้ประชาชนทั่วไปขอดูได้ รวมถึงส่งไปยังหัวหน้าผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลาง ก่อนสภาคองเกรสจะจัดการประชุมเปิดกล่องนับคะแนนในวันที่ 6 ม.ค.

อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่าสนใจคือกฎหมายของรัฐบาลกลางไม่ได้กำหนดไว้ว่าคณะผู้เลือกตั้งจะต้องทำตามเสียงโหวตในรัฐ ซึ่งเคยเกิดมาแล้วกรณีผู้เลือกตั้งเบี้ยว ไปลงคะแนนให้กับผู้สมัครที่ประชาชนไม่ได้เลือกเช่นกัน โดยคนกลุ่มนี้จะถูกเรียกว่า “ผู้เลือกตั้งที่ไร้ศรัทธา” (Faithless Elector)

ตามประวัติศาสตร์สหรัฐฯ เคยมีผู้เลือกตั้งแบบนี้มาแล้ว 165 คน ในจำนวนนี้ตัดสินใจเปลี่ยน ด้วยเหตุผลที่ผู้สมัครเสียชีวิตกะทันหัน 71 คน ตัดสินใจงดออกเสียง 1 คน และเปลี่ยนเพราะความชื่นชอบส่วนตัว หรือความผิดพลาดอย่างไม่ได้ตั้งใจ อีก 93 คน

ที่ผ่านมา ศาลฎีกาสหรัฐฯ (Supreme Court) เคยมีการตัดสินไว้ว่า แต่ละรัฐมีอิสระในการบังคับใช้กฎหมายใดๆ ในการผูกมัดผู้เลือกตั้งให้ลงคะแนน ตามเสียงของประชาชนในรัฐ ซึ่งจนถึงปี 2563 นี้ มี 33 รัฐเขียนกฎหมายเอาไว้ อย่างรัฐวอชิงตัน
มีบทลงโทษปรับเงิน ขณะที่รัฐโคโลราโด มิชิแกน มินเนโซตา มีกฎให้คะแนนของผู้เลือกตั้งที่กลับลำ กลายเป็นโมฆะ

แต่ทั้งนี้ แหล่งข่าวที่เปิดเผยกับสื่อสหรัฐฯระบุด้วยว่า แนวคิดทำให้คณะผู้เลือกตั้งเปลี่ยนใจของทีมทรัมป์ ไม่ชัดเจนว่าเป็นไอเดียที่เสนอขึ้นมาเล่นๆ หรือคิดวางแผนกันอย่างจริงจัง

แน่นอนว่า การด่วนสรุปไม่ใช่เรื่องดี กระนั้นเรื่องแบบนี้แค่มีแนวคิดก็ถือว่าแย่แล้ว และหากมีการนำไปปฏิบัติจริง การเมืองสหรัฐฯหลังจากนี้คงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป.

วีรพจน์ อินทรพันธ์

...