สหรัฐฯ วันเดียวดับมากกว่า 2 พัน ทั่วโลกทะลุแสน
สหรัฐอเมริกาใกล้แซงหน้าอิตาลี หลังผู้ป่วยโควิด-19 ตายวันเดียวกว่า 2 พันศพ ส่งผลยอดตายสะสมกว่า 1.8 หมื่นราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐนิวยอร์ก ศูนย์กลางการระบาด ต้องใช้ตู้คอนเทนเนอร์ทำห้องเย็นเป็นโรงเก็บศพชั่วคราว ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อทั่วสหรัฐฯ ทะลุครึ่งล้านคน ทีมนักวิจัยคาดใกล้ถึงจุดสูงสุดของการระบาดแล้ว ส่วนที่ยุโรป การระบาดยังหนักที่อิตาลี-สเปน-ฝรั่งเศส-เยอรมนี ส่วนนายกฯอังกฤษอาการกระเตื้อง ลุกเดินได้แล้ว ด้านองค์การอนามัยโลกติงหลายประเทศเตรียมคลายมาตรการคุมเข้ม อาจทำให้การแก้ปัญหาไม่สะเด็ดน้ำ หวั่นเกิดการระบาดซ้ำ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา2019 ที่ทำให้เกิดโรคปอดอักเสบรุนแรง (โควิด-19) ทั่วโลกเมื่อวันที่ 11 เม.ย.พบว่า สหรัฐอเมริกา กลายเป็นประเทศแรกในโลกที่มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 มากกว่า 2,000 คนภายในวันเดียวและจะแซงอิตาลีขึ้นเป็นประเทศมีผู้เสียชีวิตจากไวรัสมรณะมากที่สุดในโลกเร็วๆนี้
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ของสหรัฐฯ ระบุว่าในรอบ 24 ชม.ที่ผ่านมา สหรัฐฯมีผู้เสียชีวิตรายใหม่ภายในวันเดียวเพิ่มมากเป็นสถิติโลก อยู่ที่ 2,108 คน ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่อย่างน้อย 18,693 คน ซึ่งราวครึ่งหนึ่งในนี้อยู่ที่รัฐนิวยอร์กที่เป็นศูนย์กลางการระบาดในสหรัฐฯ โดยพบด้วยว่าเจ้าหน้าที่ต้องนำตู้คอนเทนเนอร์ห้องเย็นทำเป็นโรงเก็บศพชั่วคราว มาตั้งอยู่บริเวณหน้าโรงพยาบาล “วิกคอฟฟ์ ไฮท์ส เมดิคอล เซ็นเตอร์” ย่านบรูคลิน มหานครนิวยอร์ก เพื่อรองรับศพผู้เสียชีวิตที่มีจำนวนมากจนล้นห้องเย็นเก็บศพและรอผ่านขั้นตอนต่างๆ ก่อนนำไปฝังรวมต่อไป ส่วนยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 500,399 คน
...
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในคณะทำงานพิเศษรับมือไวรัสโควิด-19 ของทำเนียบขาว ระบุว่า การระบาดเริ่มเข้าสู่ระดับคงที่ทั่วสหรัฐฯ แต่โดยรวมยังไม่ถึงจุดพีกหรือจุดสูงสุด ก่อนหน้านี้ ทีมนักวิจัยคาดการณ์ว่าผู้เสียชีวิตสะสมในสหรัฐฯจะถึงจุดพีกสูงสุดในวันที่ 10 เม.ย. และจะเริ่มลดลงตามลำดับมาอยู่ที่วันละ 970 คนภายในวันที่ 1 พ.ค. ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งเป้าจะให้ภาคธุรกิจเริ่มเปิดทำการได้อีกครั้ง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ แถลงข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 10 เม.ย. หรือวันศุกร์ประเสริฐก่อนวันอีสเตอร์ ในวันที่ 11 เม.ย.คาดหวังว่าจะไม่ได้เห็นยอดผู้เสียชีวิตสะสมในสหรัฐฯ ถึง 100,000 คน ตามที่มีการคาดกันไว้ ตอนนี้มาตร– การรับมือเชิงรุกที่ใช้อยู่กำลังออกผลและช่วยชีวิตผู้คนไว้นับไม่ถ้วนและว่าอยากให้ธุรกิจเปิดได้เร็วที่สุด แต่จะไม่ดำเนินการใดๆจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพราะไม่อยากกลับไปจุดเดิมและเริ่มแก้ปัญหากันใหม่อีก
ด้าน ดร.เทดรอส อะดานอม เกเบรเยซูส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนว่าการผ่อนคลายมาตรการที่เข้มงวดเร็วไป เช่น การปิดเมืองสู้การระบาด อาจทำให้การระบาดย้อนกลับมาเกิดขึ้นซ้ำอีก แต่ละประเทศควรระมัดระวัง แม้เศรษฐกิจจะเสียหายบ้าง คำเตือนของ ผอ.WHO มีขึ้นขณะสเปนและอิตาลีกำลังจะผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดบางอย่างแต่ไม่ยกเลิกทั้งหมด โดยสเปนที่มีผู้ติดเชื้อสะสม 161,852 คน ผู้เสียชีวิต 16,353 คน เตรียมอนุญาตให้แรงงานที่ไม่จำเป็นในหลายภาคส่วนรวมทั้งงานก่อสร้างและโรงงานเริ่มทำงานได้ต้นสัปดาห์หน้า และขอให้ประชาชนยึดตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (social distancing) ในวันหยุดเทศกาลอีสเตอร์ช่วงสุดสัปดาห์นี้ ขณะที่อิตาลี ที่มีผู้ติดเชื้อสะสม 147,577 คนเสียชีวิต 18,849 คน รัฐบาลขยายมาตรการล็อกดาวน์ปิดเมืองทั่วประเทศออกไปจนถึงวันที่ 3 พ.ค. แต่จะอนุญาตธุรกิจขนาดเล็ก เช่น ร้านขายหนังสือ และร้านเสื้อผ้าเด็กเปิดได้ในวันที่ 14 เม.ย.นี้
ส่วนความคืบหน้าอาการของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ สามารถลุกขึ้นเดินภายในโรงพยาบาลเซนต์ โธมัสในกรุงลอนดอน ได้แล้ว หรือ 24 ชม. หลังออกจากห้องไอซียูรักษาอาการป่วยโควิด-19 โดยอังกฤษมีผู้เสียชีวิตรายวันเกือบ 1,000 คนเป็นครั้งแรก ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 8,958 คน ผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 73,758 คน ส่วนที่ฝรั่งเศสมีผู้ติดเชื้อสะสม 124,869 คน ผู้เสียชีวิตสะสม 13,197 คน และเยอรมนี มีผู้ติดเชื้อสะสม 122,171 คน ส่วนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 2,736 คน
ขณะที่บราซิลกลายเป็นประเทศแรกในทวีปอเมริกาใต้ที่มีผู้เสียชีวิตทะลุเกิน 1,000 คน ส่วนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 19,638 คน โดยส่วนท้องถิ่นเกือบทั้งหมดในบราซิลบังคับใช้มาตรการกักกันโรค แต่ประธานาธิบดีฌาอีร์ บอลโซนาโร ผู้นำหัวเอียงขวาของบราซิล ยังท้าทายมาตรการดังกล่าว เห็นว่าจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจโดยไม่จำเป็น ซึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา นายบอลโซนาโรลงพื้นที่ในกรุงบราซิเลีย พบปะจับมือกับกลุ่มผู้สนับสนุนโดยไม่สนใจมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม
ที่อิหร่าน ประเทศที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 รุนแรงที่สุดในตะวันออกกลาง มีผู้ติดเชื้อสะสม 70,029 คน ผู้เสียชีวิตสะสม 4,357 คน ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี เรียกร้องชาวอิหร่านเคารพมาตรการด้านสุขภาพเพื่อควบคุมการระบาด ขณะที่รัฐบาลอนุญาตภาคธุรกิจบางส่วนเปิดทำการได้ทั่วประเทศในวันที่ 11 เม.ย. ยกเว้นที่กรุงเตหะรานจะเริ่มได้ในวันที่ 18 เม.ย.นี้
ส่วนภูมิภาคเอเชีย จีน ที่เป็นต้นตอการระบาดและกำลังรับมือการระบาดระลอก 2 กับผู้ติดเชื้อที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เมื่อวันที่ 10 เม.ย. จำนวน 46 คน ส่วนใหญ่เดินทางมาจากต่างแดน รัฐบาลจีนยังเริ่มคุมเข้มการส่งออกเครื่องมือแพทย์ รวมทั้งเครื่องช่วยหายใจและหน้ากากอนามัย หลังถูกร้องเรียนสินค้าด้อยคุณภาพ โดยทางการจีนจะขึ้นบัญชีเป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ต้องถูกตรวจสอบคุณภาพเข้มงวด และผู้ส่งออกในจีนต้องมีสินค้าตรงตามมาตรฐานของตลาดปลายทาง
...
สำหรับเกาหลีใต้ที่เคยเป็นศูนย์กลางการระบาดในเอเชีย ผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 10,480 คน ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 211 คน ประกาศแผนจะติดสายรัดข้อมือหรือริสต์แบนด์กับผู้ฝ่าฝืนคำสั่งกักกันโรค ด้านญี่ปุ่นที่เพิ่งประกาศภาวะฉุกเฉินแบบไม่มีบทลงโทษใน 7 พื้นที่รวมทั้งกรุงโตเกียวและนครโอซากา รัฐบาลออกมาเรียกร้องสาธารณชนทั่วประเทศเลี่ยงไปที่สถานบันเทิงทั้งบาร์และคลับรวมทั้งร้านอาหารทั่วไปเพื่อสกัดการระบาดของไวรัสมรณะที่ในญี่ปุ่นมีผู้ติดเชื้อแล้ว 6,000 คน เสียชีวิต 100 คน ส่วนอินเดียที่มีผู้ติดเชื้อ 7,447 คน ผู้เสียชีวิต 239 คน เตรียมขยายมาตรการล็อกดาวน์ปิดเมืองทั่วประเทศ 21 วันที่จะครบกำหนดในวันที่ 14 เม.ย.นี้ แต่ยังไม่ระบุจำนวนวันแน่ชัด
ขณะที่ในภูมิภาคอาเซียน อินโดนีเซีย พบผู้ติดเชื้อใหม่ 330 คน ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 3,842 คน ส่วนผู้เสียชีวิตรายใหม่มี 21 คน ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 327 คน มาเลเซียมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 184 คน ยอดผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 4,530 คน เสียชีวิตเพิ่ม 3 คน รวมผู้เสียชีวิตสะสม 73 คน ฟิลิปปินส์ มีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 247 คน หลังพบผู้เสียชีวิตรายใหม่เพิ่ม 26 คน ส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 233 คน ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 4,428 คน สิงคโปร์ มีผู้ติดเชื้อ 2,108 คน ผู้เสียชีวิต 7 คน เวียดนามมีผู้ติดเชื้อ 257 คน (ไม่มีผู้เสียชีวิต) กัมพูชา มีผู้ติดเชื้อ 120 คน (ไม่มีผู้เสียชีวิต) สปป.ลาว มีผู้ติดเชื้อ 18 คน (ไม่มีผู้เสียชีวิต) และเมียนมามีผู้ติดเชื้อ 28 คน ผู้เสียชีวิต 3 คน ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อรวมใน 210 ประเทศทั่วโลก อยู่ที่ 1,714,014 คน ผู้เสียชีวิตรวมอยู่ที่ 103,772 คน รักษาหายดีแล้ว 388,577 คน ผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่สหรัฐฯ สเปน อิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมนี จีน อังกฤษและอิหร่าน
นอกจากนี้ ทีมวิจัยของสถาบันแพทยศาสตร์กองทัพในกรุงปักกิ่งของจีนเปิดเผยผลการศึกษาตัวอย่างของไวรัสบนพื้นผิวสัมผัสและละอองอากาศที่ห้องไอซียูและห้องผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่โรงพยาบาลสนาม “หัวเซินซาน” ในเมืองอู่ฮั่น ต้นตอการระบาดในจีน ช่วงวันที่ 19 ก.พ.-2 มี.ค. พบว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถกระจายตัวไปไกลถึง 13 ฟุต หรือ 4 เมตร ซึ่งมากกว่าข้อแนะนำการรักษาระยะห่างทางสังคมถึง 2 เท่า แต่ระดับเข้มข้นของไวรัสในระยะที่พบครั้งนี้ไม่ได้ทำให้เกิดการติดเชื้อ
...