(ภาพ : NASA / JPL-Caltech)

ความเชื่อแต่โบราณบอกว่าเห็นดาวตกเมื่อใดให้รีบอธิษฐานขอพรแล้วจะสมหวัง ว่ากันว่าเป็นช่วงที่เทวดาลงมายังโลกมนุษย์ ซึ่งปรากฏการณ์ธรรมชาติที่กลายเป็นความเชื่อเหนือธรรมชาติก็ตกทอดตามกันมา แม้ทุกวันนี้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จะให้ความกระจ่างถึง “ดาวตก” หรือ “ผีพุ่งไต้” (Meteor) แต่เมื่อใดที่เห็นดาวตกหรือ “ฝนดาวตก” (Meteor shower) หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะอธิษฐานขอพร

มีบันทึกจากนักดาราศาสตร์จีนโบราณว่ามองเห็นการระเบิดที่สว่างเมื่อกว่า 2,700 ปีที่แล้ว ซึ่งข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ฝนดาวตกว่า แท้จริงแล้วเป็นเศษชิ้นส่วนที่ “ดาวหาง” (Comet) ทิ้งไว้เมื่อดาวหางเคลื่อนผ่าน เมื่อโลกของเราโคจรตัดผ่านเศษซากวัตถุจากดาวหางเหล่านี้ แรงดึงดูดของโลกส่งผลให้เศษซากวัตถุดังกล่าวเกิดการเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศโลก เราจึงเห็นเป็นฝนดาวตกสว่างวาบพุ่งผ่านท้องฟ้ายามค่ำ

REUTERS / Amir Cohen
REUTERS / Amir Cohen

...

ฝนดาวตกหรือดาวตก จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีหน้าตาชวนพิสมัย ไม่ชวนโรแมนติกใดๆทั้งสิ้น หลายครั้งที่ตกลงมาบนพื้นโลก ถ้าขนาดใหญ่หน่อยก็จะเรียกว่า “อุกกาบาต” ซึ่งส่วนใหญ่นักวิทยาศาสตร์จะมองว่าวัตถุนอกโลกเหล่านี้เป็นภัยคุกคาม เมื่อเร็วๆนี้ องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา หรือองค์การนาซาก็ออกโรงเตือนภัยจากอุกกาบาต หลังจากทำแบบจำลองเหตุการณ์คล้ายการระเบิดของอุกกาบาต ที่โจมตีเมืองเชเลียบินสค์ของภูมิภาคอูราลแห่งรัสเซียเมื่อเดือน ก.พ.2556

อุกกาบาตครั้งนั้นมีผู้บาดเจ็บมากกว่า 1,000 คน เด็กเจ็บกว่า 200 คน กระจกแตกร่วมๆ 200,000 ตารางเมตร อาคารมากกว่า 4,000 แห่งเสียหาย ประเมินว่าแรงระเบิดนั้นมากกว่าแรงระเบิด ปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาในญี่ปุ่นถึง 30 เท่า

REUTERS / OgnenTeofilovski
REUTERS / OgnenTeofilovski

ซึ่งแบบจำลองที่องค์การนาซาทำขึ้นชี้ว่าเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้จะเกิดขึ้นทุกๆ 60 ปี

นอกจากนี้ การเผชิญกับฝนดาวตกบนดวงจันทร์บริวารของโลก ก็เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจเช่นกัน เพราะล่าสุดเมื่อ 30 เม.ย.ที่ผ่านมาในรายงานของวารสารราชสมาคมดาราศาสตร์ ในอังกฤษ เผยว่า ช่วงการเกิดจันทรุปราคาเมื่อ 21 ม.ค.2562 ขณะที่ดวงจันทร์ผ่านเข้ามาในเงามืดของโลกอย่างสมบูรณ์ ไม่กี่วินาทีดวงจันทร์ก็โดนอุกกาบาตกระแทกเข้ากับพื้นผิว ทำให้เกิดแสงแวบวับแต่สว่างพอที่นักดาราศาสตร์จะมองเห็น

จากการใช้ระบบตรวจจับและวิเคราะห์วัตถุที่ชนผิวดวงจันทร์ (Moon Impacts Detection and Analysis System) ก็ประเมินได้ว่าอุกกาบาตพุ่งชนด้วยความเร็ว 61,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยอุณหภูมิของการกระทบจะอยู่ที่ 5,400 องศาเซลเซียส เรียกว่าร้อนเทียบเท่ากับอุณหภูมิพื้นผิวดวงอาทิตย์ก็ว่าได้ และมีการคาดถึงแรงระเบิดมหาศาล ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ต้องนำไปศึกษาเพื่อช่วยปกป้องนักบินอวกาศที่จะหวนกลับสู่ดวงจันทร์ในทศวรรษหน้า

NASA / Bill Ingalls
NASA / Bill Ingalls

...

อย่างไรก็ตาม ถึงเนื้อแท้ของดาวตกหรือฝนดาวตกจะเป็นเพียงก้อนหินและน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยฝุ่น แต่เมื่อมันเคลื่อนอยู่บนท้องฟ้าเป็นสายสว่างวาบก็ยังเป็นสิ่งที่เหล่านักชมดาวนิยมตามไปดู

ฝนดาวตกเป็นปรากฏการณ์ที่มีให้เห็นทุกปี เนื่องจากโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ก็ต้องผ่านลำธารเศษซากของดาวหางเหล่านี้ และชนิดของฝนดาวตกก็มีแตกต่างกันไป เช่น ฝนดาวตกไลริดส์ (Lyrids) หรือฝนดาวตกพิณ เกิดจากฝุ่นดาวหางแธตเชอร์ โดยเพิ่งเกิดไปหยกๆ ก็เมื่อช่วงกลาง เม.ย.ที่ผ่านมา หรือราชาแห่งฝนดาวตกอย่าง ลีโอนิดส์ (Leonids) รู้จักในชื่อฝนดาวตกสิงโต เป็นฝนดาวตกที่มีความหนา แน่น เกิดจากเศษดาวหางเทมเพลทัตเติล ส่วนอีกชนิดที่มักได้รับความสนใจคือ เพอร์เซอิดส์ (Perseids) หรือฝนดาวตกวันแม่ จะเกิดขึ้นในช่วงเดือน ส.ค. และ เจมินิดส์ คือฝนดาวตกดาวคนคู่ จะมีให้เห็นในช่วงเดือน ธ.ค.ของทุกปี

NASA / Bill Dunford
NASA / Bill Dunford

บรรดาเกจิด้านการเฝ้าดูฝนดาวตกให้เห็นชัดเจนชี้เป้าว่าการจะเห็นฝนดาวตกที่แน่นอนก็ต้องดูในยามค่ำคืนและต้องเป็นพื้นที่ที่มองเห็นท้องฟ้ากว้างและมืดมิด ที่สำคัญต้องห่างจากการรบกวนจากแสงของเมือง รวมถึงการจราจร เพราะแสงไฟฟ้าส่องสว่างของเมืองจะบดบังมุมมองอันตระการตาของฝนดาวตกนั่นเอง โดยส่วนใหญ่จะมองเห็นได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น ตั้งแต่ช่วงค่ำจนถึงรุ่งสาง

...

สำหรับใครที่อกหักพลาดชมฝนดาวตกไลริดส์เมื่อเดือนก่อน ยังมีฝนดาวตกอีกชนิดให้ชมต้นเดือนพ.ค.นี้ นั่นคือฝนดาวตกอีตา อควาริดส์ (Eta Aquarids) หรือฝนดาวตกคนแบกหม้อน้ำ เป็นธารสะเก็ดดาวที่เกิดจากดาวหางฮัลเลย์ที่โด่งดังและผู้คนที่อาศัยอยู่ในซีกโลกใต้จะมองเห็นฝนดาวตกคนแบกหม้อน้ำได้ชัดเจนที่สุด ส่วนประเทศที่อยู่ตามแนวเส้นศูนย์สูตรก็จะได้มุมมองที่ดีสำหรับการชมฝนดาวตกชนิดดังกล่าว.

REUTERS /  Vasily Fedosenko
REUTERS / Vasily Fedosenko

กันเกรา