เมื่อครั้งเข้าร่วมอบรม “ยุทธศาสตร์จีนยุคใหม่ ไทยเตรียมพร้อมอย่างไร?” โดยสมาคมผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนประเทศไทย นายฌัฐพร วุ่นกลิ่นหอม ผู้ร่วมก่อตั้ง TeC มาบรรยายถึงวิถีเทคโนโลยีไฮ-เทค ของอุตสาหกรรมจีน รวมไปถึงเรื่อง Social Scoring
ที่เรียกว่า The Social Credit System สำหรับเอาไว้สะสมคะแนนพฤติกรรมทำดี ทำเลว หากทำดี 1 ครั้ง คะแนนสูงสุดอยู่ที่ 0.01 แต่หากทำชั่ว ถูกตัดไปเลย 1.0 คะแนน เน้นเรื่องมารยาทและการอยู่ร่วมกับสังคมของประชาชน
ทุกคนจะมี “บัตรน่าเชื่อถือ” คอยบันทึก คะแนนตั้งแต่ 100-950 คะแนน ภายใต้การ กำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐ+ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น กล้องวงจรปิด CCTV จดจำใบหน้า เชื่อมโยงกับ Big Data ที่คอยจัดเก็บข้อมูลไว้ในระบบดิจิทัล กับการใช้ชีวิตประจำวัน หรือไลฟ์สไตล์ ทั้งใน-นอกบ้านและออนไลน์
ผลแห่งกรรมจะมีทั้งให้รางวัล หรือลงโทษประชาชนบนพื้นฐานพฤติกรรมของบุคคลนั้นๆ บทลงโทษก็มีหลายแบบ ทั้งห้ามขึ้นเครื่องบิน-นั่งรถไฟความเร็วสูง เฉพาะปีนี้เริ่มชิมลางไปแล้วหลายล้านคน, ตัดสิทธิ์เข้าโรงเรียนเอกชน กรณีพ่อแม่นิสัยไม่ดี ลูกก็จะไม่ได้เข้าเรียน ร.ร.เอกชนดีๆในแต่ละมณฑล, ใช้เน็ตความเร็วช้าลง ตัดสิทธิ์หน้าที่การงานสูงๆ ตัดสิทธิ์เข้าพักโรงแรม และขึ้นบัญชีดำ
ส่วนใครที่กรรมดีถึงระดับคะแนนสะสม ก็จะกู้ยืมเงินหรือหางานได้เร็ว รับทุนการศึกษา เข้ารับราชการ โอกาสจะเข้าหาและเข้าถึงง่าย สิทธิประโยชน์ ชีวิตสะดวกสบายขึ้น โดยจะทยอยใช้จนกว่าจะครอบคลุมทั้งประเทศในปี 2563 หรืออีกแค่ 1-2 ปี
คนทั่วโลกอาจมองว่า รัฐบาลจีนกำลัง ทำตัวเหมือนเป็น “พระเจ้า” ที่ไปกำหนด “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” หรือทำหน้าที่เกินรัฐ ที่เข้าไปสอดส่องความเป็นส่วนตัวของพลเมือง เหมือนนวนิยาย 1984 ของจอร์จ ออร์เวลล์ ที่มีรัฐสมมติ ปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ ออก ก.ม.ให้ประชาชนเปิดทีวีทิ้งไว้ 24 ชม.เพื่อดูพฤติกรรม
...
แต่ก็อย่าลืมว่า จีนมีประชากร 1.4 พันล้านคน ร้อยพ่อพันแม่ หากให้มานั่งจัดระเบียบ ฝึกวินัยกันใหม่ พัฒนาคนทั้งหมดคงไม่ไหวแลอย่างน้อยนะ การกำราบคนเลว อภิบาลคนดีก็ไม่มียกเว้นว่า เส้นใคร ลูกใคร นามสกุลอะไร
สงสัยเรื่องเดียว หากประชาชนคิดเห็น ต่างจะได้แต้ม หรือตัดแต้ม...เท่าไหร่??
ฤทัยรัช จันทร์เพ็ญ