ในยุคที่จรรยาบรรณของสื่อต้องถูกตรวจสอบอย่างหนัก คงไม่มีคดีไหนจะครึกโครมและสั่นสะเทือนวงการสื่อเท่ากับคดีสุดอื้อฉาวของแท็บลอยด์ยักษ์ใหญ่ “นิวส์ออฟเดอะเวิลด์” เมื่อปี 2011 ที่สื่อจอมแฉดันมาถูกแฉซะเอง จนสุดท้ายต้องปิดหนังสือพิมพ์เพื่อหนีความอัปยศ
นอกจากบรรณาธิการข่าวและนักข่าวต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ งานนี้นายทุนใหญ่เจ้าของกลุ่มนิวส์ คอร์ปอเรชั่นอย่าง “รูเพิร์ต เมอร์ดอค” ก็ต้องตกเป็นจำเลยสังคมโลก โทษฐานให้ท้ายลูกน้องใช้วิธีสกปรกเพื่อขุดคุ้ยข่าวลับๆคาวๆของคนดังระดับโลก โดยไม่คำนึงว่าจะสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้คนอื่นยังไง
จุดพลิกผันที่ทำให้เจ้าพ่อสื่อผู้เฉียบคม เจ้าของเครือข่ายธุรกิจสื่อยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของโลก ต้องเผยร่างปีศาจร้ายใจดำ เกิดขึ้นจากความผิดพลาดครั้งใหญ่เมื่อปี 2011 ไม่สิ...มันไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นความตั้งใจทำผิดศีลธรรมอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย โดยหนังสือพิมพ์ลูกรักที่สร้างรายได้มหาศาลให้ตระกูลเมอร์ดอคอย่าง “นิวส์ออฟเดอะเวิลด์” ถูกเปิดโปงว่าใช้วิธีสกปรกและผิดศีลธรรมรุนแรงในการเจาะข่าว ทั้งดักฟังโทรศัพท์, ติดสินบนตำรวจและแฮกคอมพิวเตอร์ขโมยข้อมูลส่วนตัว โดยเหยื่อที่โดนก็มีทั่วหน้าทั้งดารา นักร้อง นักการเมือง นักธุรกิจ นักกีฬา ไม่เว้นแม้แต่พระราชวงศ์อังกฤษ
ลำพังล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของคนดังก็หนักอยู่แล้ว แต่ดันมีหลักฐานชี้ชัดว่า ในบรรดาเหยื่อ 7,000 กว่าชีวิต ที่โดนดักฟังโทรศัพท์เพื่อเจาะข่าวมาขาย มีครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากการก่อการร้ายในลอนดอน เมื่อปี 2005 และทหารอังกฤษที่เสียชีวิตในสงครามอิรักกับอัฟกานิสถานรวมอยู่ด้วย แม้กระทั่งโทรศัพท์ของเหยื่อฆาตกรรมอย่าง “มิลลี ดาวเลอร์” ซึ่งถูกลักพาตัวและพบว่าถูกฆ่าทิ้งในภายหลัง นักข่าวของแท็บลอยด์แสบก็เจาะวอยซ์เมลข้อความเสียงของเด็กสาว และแอบลบข้อมูลเก่าทิ้ง เพื่อหลอกพ่อแม่เหยื่อว่าลูกยังไม่ตาย หาเรื่องปั้นข่าวใหม่มาขายต่อซะงั้น
...
แม้จะถูกตั้งคณะกรรมาธิการสอบสวนใหญ่โต โดยถ่ายทอดสดให้ประชาชนได้ชมกันทั่วเกาะอังกฤษ แต่เจ้าพ่อสื่อจอมเจ้าเล่ห์ก็ได้แต่ยืนยันกระต่ายขาเดียวว่าไม่รู้ไม่เห็นกับการกระทำดังกล่าวของลูกน้อง เพราะ “นิวส์ออฟเดอะเวิลด์” เป็นเพียงสื่อเล็กๆในอาณาจักรธุรกิจหลายหมื่นล้านของนิวส์ คอร์ป ถึงจะโดนลูกน้องซักฟอกให้ปากคำว่า “เมอร์ดอค” รับรู้เรื่องราวสกปรกพวกนี้ตลอด แต่เขาก็ยังลอยนวลอยู่ดีกินอร่อยมาถึงทุกวันนี้ เพียงแต่ต้องฝืนใจลดบทบาทตัวเอง ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการสื่อในเครือเกือบทั้งหมด ทั้งในอังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลียและอินเดีย คงรั้งไว้แค่เก้าอี้ซีอีโอกลุ่มธุรกิจสื่อเอนเตอร์เทนเมนท์ “ทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์”
หมาป่าก็คือหมาป่า อุตส่าห์เก็บตัวเงียบมาได้หลายปี แต่ปีนี้ดันเกิดเรื่องอื้อฉาวให้ปวดหัวอีกจนได้ คราวนี้เป็นคิวของธุรกิจที่เป็นกล่องดวงใจอย่าง “สถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ นิวส์” ถูกเพื่อนสื่อด้วยกันคือนิวยอร์ก ไทม์ส แฉว่า ผู้ดำเนินรายการข่าวทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งของฟ็อกซ์ นิวส์ “บิล โอเรลลี” มีพฤติกรรมคุกคามทางเพศมาตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่คร่ำหวอดในวงการ โดยเหยื่ออย่างน้อย 5 คน ได้รับเงินปิดปากร่วม 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากโฆษณาจะถูกถอดออกจนไม่เหลือหลอ สถานการณ์ของฟ็อกซ์ นิวส์ ยังเลวร้ายหนัก เพราะเรื่องอื้อฉาวไม่หยุดแค่นี้ ยังมีซีอีโอสถานีฟ็อกซ์ นิวส์ “โรเจอร์ เอลส์” อีกคน ที่ถูกแฉว่าเคยคุกคามทางเพศ
ผู้ประกาศข่าวสาวมาแล้วนับไม่ถ้วน รวมถึงผู้ประกาศคนดัง “เมแกน เคลลี” ตั้งแต่สมัยเป็นนักข่าวเอ๊าะๆ งานนี้ซีอีโอจอมหื่นรับซองขาวไปพร้อมกับเงินชดเชย 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ...เจ๊กอั้กจริงๆต้องมาหมดอนาคตตอนแก่ เพราะตัณหากลับแท้ๆ.
มิสแซฟไฟร์