ผู้ปกครองแห่แจ้งดำเนินคดี “หลวงตาบุญส่ง” พระเกจิเจ้าอาวาสวัดดัง อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ลองของพระเครื่องวัตถุมงคล เอาน้ำกรดราดมือเด็กๆเป็นแผลพองไหม้บาดเจ็บ ระนาว 5 คน ลูกศิษย์ออกหน้ารับผิดแทน เผยให้ ค่าจ้างเด็กคนละ 200 บาท แลกกับการลองของพิเรนทร์ หลังก่อนหน้านี้เคยลองกับตัวเองแล้วไม่ระคายผิว พ่อแม่เด็กยันเอาเรื่องถึงที่สุด ตำรวจเชิญทุกฝ่ายเข้าเจรจาไกล่เกลี่ย ประสานสหวิชาชีพร่วมสอบปากคำเด็กก่อนดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ด้านพระชั้นผู้ใหญ่สั่งตั้งคณะกรรมการสอบเอาผิดวินัยสงฆ์

กรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “กินเที่ยว สุโขทัย” โพสต์ข้อความว่า พระลองของ! พลาดเด็กบาดเจ็บ ให้ศิษย์รับผิดแทน ระบุว่า เมื่อช่วงสายวันที่ 30 เม.ย. มีเหตุวุ่นวายที่วัดเขาแร่ อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย เมื่อผู้ปกครองเด็กวัย 13 ปี ไปแจ้งความที่ สภ.ทุ่งเสลี่ยม ว่ามีพระรูปหนึ่งในวัดเขาแร่ลองของด้วยการให้เด็กกำวัตถุมงคลไว้ในมือแล้วเอาน้ำกรดราดมือเด็ก โดยให้ค่าจ้างกับเด็ก 200 บาทแลกกับการลองของขลัง เมื่อตำรวจเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ปรากฏว่าพระรูปดังกล่าวไม่ยอมออกมาพูดคุยกับผู้ปกครองเด็ก และมีลูกศิษย์มารับผิดแทน บอกว่าจะรับผิดชอบทุกอย่างทั้งค่าเสียหายและการรักษาจนกว่ามือเด็กจะหาย แต่การพูดคุยเจรจาไม่ได้ข้อยุติ เพราะผู้ปกครอง เด็กต้องการให้พระรูปที่ทำออกมารับผิดชอบด้วยตัวเอง ตำรวจจึงนัดให้ผู้ก่อเหตุและผู้เสียหายไปพบที่ สภ.ทุ่งเสลี่ยม ในวันที่ 1 พ.ค. ทั้งนี้ หลังจากมีการโพสต์ข้อความดังกล่าว มีผู้เข้ามาแชร์ข้อมูลและแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ต้องการให้พระที่เป็นคนลงมือทดลองของขลังออกมารับผิดชอบในเหตุการที่เกิดขึ้น

ต่อมาช่วงเช้าวันที่ 1 พ.ค. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่วัดเขาแร่ ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ต.ทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย พบพระสงฆ์ที่ก่อเหตุคือพระครูสังฆรักษ์บุญส่ง อุปสโม อายุ 70 ปี หรือหลวงตาบุญส่ง เจ้าอาวาสวัด มีบรรดาลูกศิษย์และชาวบ้านจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่ไม่พอใจกับข่าวที่แชร์กันออกไปเนื่องจากทำให้เกิดความเสียหาย อีกทั้งหลวงตาบุญส่งยังป่วยเป็น

...

พาร์กินสันและบกพร่องเรื่องความจำ จากนั้นลูกศิษย์ได้พาหลวงตาบุญส่งเดินทางไปที่ สภ.ทุ่งเสลี่ยม ตามที่ตำรวจนัดหมาย เมื่อไปถึงพบกับผู้ปกครองและเด็กๆที่ได้รับบาดเจ็บ มี พ.ต.อ.นิคม พรมพิราม ผกก. เชิญเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กจังหวัดสุโขทัย พัฒนาสังคมและความมั่นคงจังหวัดสุโขทัย และพระชั้นผู้ใหญ่ของ อ.ทุ่งเสลี่ยม มาร่วมกันพูดคุยเจรจากันในห้องไกล่เกลี่ยของโรงพัก ไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวติดตามเข้าไป

สอบถามพ่อเด็กชายวัย 13 ปีหนึ่งในผู้ได้รับบาดเจ็บ เผยว่า มีเด็ก 5 คนตกเป็นเหยื่อลองของถูกราดน้ำกรดใส่มือ ลูกศิษย์เล่าว่าหลวงตาบุญส่งทำวัตถุมงคลของขลังและลองกับตัวแล้วไม่เป็นไร เลยให้เด็กๆ 5 คนมาลองของดูจนได้รับบาดเจ็บที่หลังมือมีรอยพุพอง โดยของขลังเป็นพระเครื่องรุ่น “พระสมเด็จปาฏิหาริย์” เป็นพระผงรูปคล้ายสมเด็จโตและพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ซ้อนกันอยู่ในกรอบพลาสติก ส่วนน้ำกรดที่ราดมือเป็นน้ำกรดกำมะถันที่นิยมใช้ในกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง คิดว่าการกระทำแบบนี้ไม่เหมาะสมและจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ทั้งนี้ มีผู้ปกครองเด็ก 4 คนที่แจ้งความดำเนินคดี ส่วนเด็กอีกคนมีผู้ปกครองเป็นลูกศิษย์วัดไม่ประสงค์แจ้งความ

ต่อมา พ.ต.อ.นิคม พรมพิราม ผกก. เผยว่า วันนี้มีการพูดคุยกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน หลังจากผู้ปกครองนำเด็กผู้เสียหายเข้าแจ้งความ พนักงานงานสอบสวนได้รวบรวมหลักฐานต่างๆ ไว้แล้วจะประสานสหวิชาชีพมาร่วมสอบปากคำเด็ก ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเนื่องจากผู้เสียหายมีหลายคน แต่จะพยายามดำเนินการให้เร็วที่สุด และจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ด้านความผิดวินัยสงฆ์ พระผู้ใหญ่ได้นำเรื่องรายงานในระดับสูงแล้ว จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องราวโดยละเอียดและดำเนินการในส่วนของสงฆ์ ทั้งหมดพึงพอใจแยกย้ายกันกลับ

ด.ช.โป้ง (นามสมมติ) อายุ 13 ปี หนึ่งในผู้เสียหาย เผยว่า วันเกิดเหตุตนกับเพื่อนๆเข้าไปเล่นในวัดเนื่องจากมีเพื่อนบวชเป็นสามเณรอยู่ เจอรุ่นพี่ชักชวนว่ามีเครื่องรางของขลังช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัย ใครอยากลองจะมีเงินให้ 200 บาท พวกตนอยากได้เงินจึงเข้าไปในกุฏิหลวงตาบุญส่ง หลวงตามอบพระสมเด็จปาฏิหาริย์ให้ถือไว้คนละองค์ แล้วใช้น้ำกรดราดที่หลังมือ รู้สึกปวดแสบปวดร้อนและหลังมือไหม้เป็นแผลพุพองจนผู้ปกครองทราบเรื่องพามาแจ้งความ ขณะที่ป้าของเด็กอีกคนเผยว่า หลานชายอายุ 13 ปี พ่อแม่ไปทำงานต่างจังหวัด อาศัยอยู่กับปู่และย่า สังเกตเห็นแผลไหม้ผุพองที่หลังมือของหลานขณะดื่มน้ำ สอบถามหลานบอกว่าพระเอาน้ำกรดราด จึงโทร.แจ้งพ่อแม่หลานแล้วพาเข้าแจ้งความ

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบรรดาลูกศิษย์ที่เคารพศรัทธา อาทิ นายชัย (นามสมมติ) กล่าวว่า เชื่อว่าเครื่องรางของขลังวัตถุมงคลของหลวงตาบุญส่งศักดิ์สิทธิ์จริง เนื่องจากตนเคยลองของแบบนี้เช่นกันเมื่อหลายปีก่อน ก็ไม่ปรากฏบาดแผลใดๆ และตนยังคล้องคอบูชาอยู่จนทุกวันนี้

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่