ก้าวเข้าสู่เดือนที่หกของการแพร่ระบาด “โควิด-19”ที่กำลังลุกลามไปทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อ “เศรษฐกิจไทยถดถอยดิ่งลงเหว” ครั้งเลวร้ายที่สุดนับแต่วิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540...มีผลให้ประกอบการ “ธุรกิจรายย่อย” พ่อค้าแม่ค้า ผู้มีรายได้น้อยไม่น้อย ต่างมีความจำเป็นต้องหันหน้าเข้าหา “เงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยโหด” ในการนำเงินมาประคอง “หมุนเวียนธุรกิจ” ที่มียอดขายลดลงไม่เว้นแม้แต่ “เกษตรกร” ก็เดือดร้อนจากราคาพืชผลตกต่ำมายาวนาน เพราะต้องเผชิญกับปัญหา “ภัยแล้ง” ทำให้พืชผลเสียหาย ซ้ำร้ายยังมารับผลกระทบจากการระบาดโควิค-19 นี้อีกด้วย ส่งผลให้การทำมาหากินหารายได้ต่อครัวเรือนเกือบจะทำไม่ได้ จนเป็นความเดือดร้อนจากการขาดรายได้อย่างแสนสาหัสเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นใด ก็จำเป็นต้องนำโฉนดที่ดินค้ำประกันเงินกู้มาใช้จ่ายไปก่อน เพราะภาระต้องกินต้องใช้ทุกวัน กลายว่าปัญหาหนี้สินเดิมหนักอยู่แล้ว ต้องบานปลายขึ้นไปอีก ปัญหาคนหันหน้าพึ่งพาหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้นนี้ รศ.ดร.วิทยาธร ท่อแก้ว ประธานหลักสูตรนวัตกรรมการสื่อสารทางการเมืองและการปกครองท้องถิ่น ม.สุโขทัยธรรมาธิราช บอกว่า เรื่องวิถีการจัดการธุรกิจ และการใช้ชีวิตในยามวิกฤตินี้ถูกพูดกันมานาน แต่ไม่มีใครหยิบยกขึ้นมาใช้กัน...ซ้ำร้าย...“ผู้ประกอบการธุรกิจ” กลับไม่มีแผนรองรับเผชิญเหตุวิกฤติโรคระบาดรุนแรง ทั้งที่ “โลก” เคยย้ำเตือนมาตลอดว่า มีแนวโน้มโอกาส “เกิดโรคอุบัติใหม่” หรือ “เกิดสงครามเชื้อโรค” ขึ้นได้ทุกเมื่อ และอาจจะแพร่กระจายเชื้อโรคไปทั่วโลก แต่ “องค์กรธุรกิจ” กลับไม่มีใครสนใจ ในเรื่องการจัดทำแผนเผชิญเหตุกรณีนี้กระทั่ง “ทั่วโลก” ต้องเผชิญกับโรคระบาดขึ้นจริง แต่ก็ยังโชคดี... “ประเทศไทย” มีความสามารถในการป้องกันยับยั้งการติดเชื้อโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี เพราะรากฐานของระบบสาธารณสุขมีความแข็งแรง โดยเฉพาะหน่วยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ที่เรียกติดปากว่า “อสม.” ที่เป็นเสมือน “มดงานตัวจิ๋ว”ในการดูแลสุขภาพถึงหน้าประตูบ้าน เบื้องหลังความแข็งแกร่งของสาธารณสุขไทย มีหน้าที่คอยให้ความรู้ด้านการส่งเสริมสุขภาพ การรักษาโรคง่ายๆ ช่วยงานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ดูแลผู้สูงอายุ ผู้พิการที่บ้าน ป้องกันโรคติดต่อ ตลอดจนติดตามปัญหาสุขภาพต่างๆในช่วงแรก...การระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ต่างจังหวัด มีการติดต่อแพร่เชื้อจาก “คนเมืองกรุง” ทำให้ อสม.มีภารกิจเป็น “ด่านหน้า” ในการช่วยเคาะประตูบ้านช่วยคัดกรอง สนับสนุนการเฝ้าระวัง ควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดในระดับชุมชน มีการรายงานสถานการณ์ให้ สนง.สาธารณสุขอำเภอทุกวันมีผลให้สามารถแยก “ผู้ติดเชื้อไวรัส” ออกจากชุมชน และเฝ้าระวังกักผู้ใกล้ชิดผู้ป่วย 14 วัน ทำให้การติดเชื้อลดน้อยลงเรื่อยๆ จนการติดเชื้อระดับชุมชนไม่มีผู้ป่วยรายใหม่ ในบางพื้นที่ทำมาหากินเสมือนปกติด้วยซ้ำส่วนสาเหตุ...ที่เกิดผลกระทบคนในชุมชนนั้นมาจาก “รัฐบาล” การประกาศ “เคอร์ฟิว” ทำให้ “ธุรกิจต้องหยุดกิจการชั่วคราว” ส่งผลถึง “ประชาชน” ไม่สามารถประกอบอาชีพทำมาหากินได้ตามปกติกลายเป็นปรากฏการณ์ “วิถีชีวิตใหม่” อาจต้องมองกันต่อว่า ในรูปแบบทำมาหากิน “เช้าชามเย็นชาม” คงไม่ได้กันอีกต่อไป หรือจะเป็นรูปแบบ “หาเช้ากินค่ำ” ก็คงไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะเมื่อวงจร “วิถีชีวิตแบบเก่า” ต้องถูกเผชิญเหตุการณ์โรคระบาดรุนแรงถึงขั้นต้องตัดวงจรการดำรงชีวิตแบบกะทันหันย่อมส่งผลกระทบเกิดปัญหาชีวิต ไม่เว้นแม้แต่ “ธุรกิจ” ก็ต้องสะดุดหยุดลงด้วยเช่นกันเรื่องนี้มีปัจจัยเกิดจากในช่วงที่ผ่านมา “องค์กรธุรกิจ” มองโลกสวยหรูมากเกินไป จนไม่มีการเขียนแผน “รับมือ” ในการเผชิญเหตุโรคระบาดร้ายแรงนี้ เมื่อเกิดผลกระทบแบบกะทันหันขึ้น ก็ส่งผลให้วงจรระบบธุรกิจทุกประเภทหยุดลงอย่างไม่มีทางเลือกเช่นนี้แล้ว...ย่อมมีผลเกี่ยวพันถึง “มนุษย์เงินเดือน” ต้องกลายเป็น “ถูกเลิกจ้าง” ทำให้ไม่มีรายได้ แม้ว่า “รัฐบาล” มีสวัสดิการช่วยเหลืออยู่บ้าง แต่ทดแทนรายได้ที่สูญเสียไปไม่ได้ โดยเฉพาะภาคประชาชน “คนหาเช้ากินค่ำ” ที่มีหนี้เดิมอยู่แล้ว เมื่อขาดรายได้แบบไม่ทันตั้งตัวเพียง 1 เดือน จะเกิดผลกระทบอย่างแสนสาหัส มีสาเหตุในช่วงหนึ่ง...“คนไทย” ถูกหล่อหลอมแนวคิดที่ว่า “นำเงินในอนาคตมาใช้” ตั้งแต่สมัยปี 2548 เป็นต้นมา “ผู้นำรัฐบาลยุคหนึ่ง” มักพูดอยู่เสมอว่า...สามารถนำสิ่งนั้นมาจำนอง หรือนำสิ่งนี้มาจำนำ หรือเปิดให้ราชการ “กู้ยืมเงิน” ทั้งหมดนี้คือ การนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อนทั้งสิ้น หากเกิดเหตุแบบไม่คาดคิด ย่อมมีปัญหาขาดสภาพคล่องทันทีทว่า...“บุคคล” มีวินัยในเรื่องวางแผนการเงินดี มีการอดออมเก็บเงินสำรองไว้ใช้ยามจำเป็นอย่างน้อย 6 เดือน ย่อมอยู่รอดปลอดภัย ไม่เดือดร้อนมาก แต่ถ้าคนไม่มีเงินออม เช่น คนหาเช้ากินค่ำ ทั้งในต่างจังหวัด และคนชุมชนเมือง เมื่อไม่มีงานทำ หรือค้าขายไม่ได้เช่นนี้ ก็ย่อมทำให้เกิดความเดือดร้อนขึ้นได้แบบนี้สังเกต “คนเดือดร้อน” ต่างเดินทางไปร้อง “กระทรวงการคลัง” กลายเป็นภาพแห่งความ “เศร้าใจ” แต่ความโชคร้ายนี้ก็ยังมีความโชคดี “ในเรื่องคนไทยช่วยเหลือกัน” ยกตัวอย่าง...“ศาสนา” ก็มีบทบาทเข้ามาค้ำจุน ด้วยการ “เปิดโรงทาน” เกิดขึ้นมากมาย ในการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน เป็นต้นประเด็นสำคัญ...“เศรษฐกิจสะดุดยุคโควิด-19” ก็เริ่มมี “หนี้นอกระบบ” เพิ่มสูงขึ้น แม้ว่า “รัฐบาล” เคยแก้ปัญหานี้แล้ว แต่หนี้นอกระบบกำลังจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง เพราะเข้าถึงคนง่าย ประกอบกับคนก็มีความเดือดร้อนเดิมอยู่ เมื่อเข้า “ตาจน” ต้องจำใจยอมกู้เงินดอกเบี้ยโหด กลายเป็น “ติดกับหนี้นอกระบบ” ตามมา... ต้องยอมรับว่า...“คนหาเช้ากินค่ำ” คือ ผู้มีสภาพทางการเงินไม่คล่องตัว ยกตัวอย่าง...เมื่อ “เปิดโรงเรียน” มักมีค่าใช้จ่ายซื้อชุดนักเรียน สมุดหนังสือ แม้มีนโยบายเรียนฟรี แต่ยังมีส่วนหนึ่งต้องมีค่าใช่จ่ายเช่นเดิมในยามปกติ...ทุกครั้งเปิดเทอมแรก “โรงรับจำนำ” ต้องเตรียมเงินไว้อยู่เสมอ เพราะมีผู้ปกครองต่างนำสิ่งของเข้าไปจำนำ เพื่อนำเงินนี้มาใช้จ่ายในช่วงเปิดเรียนใหม่ และยิ่งประเทศ...เกิดวิกฤติโรคระบาด เช่นนี้ทำให้หลายคนต้องนำสิ่งของไปเข้าโรงรับจำนำแล้วด้วยซ้ำเมื่อไม่มีทรัพย์สิน ที่ต้องนำไปจำนำอีกต่อไป สุดท้ายก็ต้องหันหน้าไปพึ่งพา “หนี้นอกระบบ”เพราะในช่วงโควิด-19 นี้ที่ทำให้คนขาดรายได้ เช่น “พนักงาน” เคยมีเงินเดือนเฉลี่ย 2 หมื่นบาท เมื่อรายได้นี้หายไป แต่กลับมีค่าใช้จ่ายผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าใช้จ่ายประจำวัน จนต้องหารายได้ในส่วนอื่นมาทดแทนต้องเข้าใจว่า...“คนหาเช้ากินค่ำ” คงไม่สามารถ “กู้ยืมเงินในระบบ” เพราะไม่มี “เครดิต” หรือ “หลักประกัน” ให้สถาบันการเงินปล่อยเงินให้กู้ยืมได้ อีกทั้งเกิดโรคระบาดแบบนี้ ยิ่งทำให้การปล่อยเงินกู้ระวังมากขึ้น ทำให้ต้องมา “กู้เงินนอกระบบ” ที่เป็นเรื่องสมยอมกันทั้ง 2 ฝ่าย มีนายทุนปล่อยเงินกู้เดินเข้าชุมชนเคาะถึงประตูหน้าบ้านด้วยซ้ำ ทำให้การเงินกู้นอกระบบนี้มีความสะพัดอย่างมากดังนั้น...“ระดับประเทศ” ต้องรณรงค์การสอนเรื่อง “การออมเงินกันใหม่” ที่เรียกว่า “สร้างวินัยการออม” ถ้าต้องการลงทุนควรมีเงินอยู่ 100% เพื่อป้องกันการขาดทุนอนาคต ที่ไม่ใช่ไม่มีเงินกลับไปกู้ยืม 100% หากเกิดวิกฤติขึ้นอาจเผชิญกับการล้มสลายได้ เพราะไม่มีความแข็งแรงรากฐานการลงทุนโดยเฉพาะ “ธุรกิจการเงินสมัยใหม่” เน้นการ “กู้ยืมเงินมาลงทุนก่อน” กลายเป็น “หนี้ล่วงหน้า” เพราะทุกคนไม่เคยมีชุดความคิดออมเงินกัน เมื่อเกิดโรคระบาดทำให้เห็นปัญหา “วิถีชีวิต” มากมาย ทั้งธุรกิจ โรงแรม พ่อค้า แม่ค้า ต้องเผชิญการขาดสภาพคล่องอย่างเต็มรูปแบบเรื่อง “หนี้” คือ การใช้เงินของอนาคต ที่อาจมีผลกระทบอย่างไม่รู้ตัว ต่อไปคงหันกลับมาดูพื้นฐานในเรื่องการวางแผน “ออมเงินครอบครัว” ให้มีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายยามจำเป็นเช่นเดียวกับ “ประเทศ” ต้องมีเงินออมสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน มิฉะนั้น “เศรษฐกิจ” ก็จะเดินต่อไม่ได้...พังพินาศเช่นกัน.