
Data Center ทั่วโลกขยายตัวอย่างรวดเร็ว สร้างความต้องการพลังงานมหาศาล
ขณะที่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI และ Cloud Computing กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของเศรษฐกิจโลก ความต้องการพลังงานเพื่อหล่อเลี้ยงระบบเหล่านี้ก็พุ่งสูงในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การขยายตัวของ “ศูนย์ข้อมูล” หรือ Data Center ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของโลกดิจิทัลในยุคปัจจุบันสำคัญไม่แพ้ถนนหรือโรงไฟฟ้า กำลังสร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อผู้ให้บริการและบิ๊กเทคที่ต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานนี้ ทั้งในมิติของการใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล การใช้น้ำเพื่อระบบระบายความร้อน และแรงต้านจากประชาชนในพื้นที่ก่อสร้างที่กังวลเรื่องค่าไฟ สิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรเกินสมดุล คำถามสำคัญจึงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ว่า โลกใบนี้ยังรองรับการเติบโตของ Data Center ได้อีกแค่ไหน
วันนี้บิ๊กเทคระดับโลกและบริษัทด้านอวกาศจำนวนหนึ่งกำลังให้ความสนใจทางเลือกที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงแนวคิดไซไฟ ซึ่งวันนี้ถูกมองเป็นโอกาสใหม่ของธุรกิจ นั่นคือ การย้าย Data Center ขึ้นสู่อวกาศ โดยใช้พลังงานจากดวงอาทิตย์ แหล่งพลังงานขนาดมหึมาที่ไม่วันดับสิ้น
ข้อมูลจาก MSCI ระบุว่า ปัจจุบันมีโครงการ Data Center ใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างรวมกว่า 47 กิกะวัตต์ (GW) คิดเป็นมูลค่าการลงทุนมากกว่า 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะโครงการที่กำลังก่อสร้างในปี 2025 ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โลกกำลังเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ในขณะเดียวกัน การขยายตัวดังกล่าวก็กำลังสร้างแรงกดดันอย่างรุนแรงต่อระบบพลังงานและสิ่งแวดล้อมทั่วโลก
นักวิเคราะห์ประเมินว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าของ Data Center ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดภายในปลายทศวรรษนี้ โดยเฉพาะจากงานประมวลผล AI ที่ต้องเปิดระบบตลอด 24 ชั่วโมง ข้อมูลจาก Gartner ระบุว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าของ Data Center ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นราว 16% ในปี 2025 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าภายในปี 2030
ในเชิงปริมาณ การใช้ไฟฟ้าของ Data Center ทั่วโลกจะขยับจากประมาณ 448 เทราวัตต์-ชั่วโมง (TWh) ในปี 2025 ไปสู่ราว 980 TWh ในปี 2030 ตัวเลขที่ใกล้เคียงกับการใช้ไฟฟ้าของประเทศขนาดใหญ่หลายประเทศรวมกัน
สหรัฐฯ กลายตัวอย่างของแรงกดดันเชิงระบบ รายงานระบุว่า ในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว Data Center กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ความต้องการไฟฟ้าพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันสหรัฐฯ มี Data Center อย่างน้อย 5,400 แห่ง ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึง Hyperscaler ระดับหลายพันเซิร์ฟเวอร์ และจำนวนนี้ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลคาดการณ์ว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของสหรัฐฯ ในปี 2025 จะอยู่ที่ประมาณ 4,193 พันล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง และคาดว่า Data Center จะใช้ไฟฟ้าสูงถึง 12% ของทั้งประเทศภายในปี 2028 ซึ่งเริ่มสร้างแรงกดดันต่อเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้าในหลายรัฐ
แม้ผู้ให้บริการรายใหญ่จะพยายามเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดและลดการปล่อยคาร์บอน แต่ความเร็วของการลงทุนด้านพลังงานใหม่ยังตามไม่ทันความต้องการของ Data Center โดยเฉพาะงาน AI ที่ต้องการ “พลังงานต่อเนื่องและมีความหนาแน่นสูง” สถานการณ์นี้กำลังบีบให้บริษัทเทคโนโลยีต้องกลับมาคิดใหม่ว่าโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลควรถูกสร้างไว้ที่ใด
เหตุผลสำคัญที่ทำให้อวกาศเริ่มถูกมองอย่างจริงจัง คือ “พลังงานและการสเกล” แนวคิดของ Data Center บนอวกาศ คือ การสร้างศูนย์ข้อมูลในรูปแบบดาวเทียมที่โคจรรอบโลก ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งแทบไม่มีขีดจำกัด โดยเฉพาะการอยู่ในวงโคจรแบบ Sun-synchronous ที่สามารถรับแสงอาทิตย์ได้เกือบตลอดเวลา ไม่ต้องเผชิญข้อจำกัดกลางคืนหรือฤดูกาล
Data Center บนอวกาศไม่ต้องแข่งขันแย่งน้ำหรือที่ดิน ไม่กระทบโครงข่ายไฟฟ้าท้องถิ่น และไม่เผชิญแรงต้านจากชุมชนเหมือนบนโลก ผู้ให้บริการสามารถดึงพลังงานจากดวงอาทิตย์โดยตรง แทนการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลหรือโครงสร้างไฟฟ้าเดิม ทำให้ในเชิงทฤษฎี นี่คือพื้นที่ที่ Data Center สามารถขยายได้แทบไม่จำกัด และรองรับการเติบโตของ AI ในระยะยาวโดยไม่เพิ่มภาระให้กับโลกใบเดิม
ผู้นำด้านอวกาศหลายรายออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้อย่างเปิดเผย นำโดย Elon Musk ที่มองว่าอวกาศ คือแหล่งพลังงานมหาศาลจากดวงอาทิตย์ เหมาะกับงาน AI ขนาดใหญ่ในอนาคตและล่าสุดที่ได้แสดงออกถึงความสนใจในธุรกิจ Data Center บนอวกาศ ขณะประกาศแผน IPO ของ SpaceX
แนวคิดนี้กำลังถูกทดสอบอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โปรเจกต์ Suncatcher ของ Google, สตาร์ทอัพ Starcloud ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia และ Blue Origin ของ Jeff Bezos ต่างเริ่มลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสำรวจความเป็นไปได้ของ Data Center ในอวกาศ
Starcloud ได้ส่งดาวเทียมที่บรรจุระบบคอมพิวติ้งรุ่นทดลองขึ้นสู่วงโคจรเพื่อทดสอบศักยภาพจริง ขณะที่ Alphabet เปิดเผยแผนทดสอบดาวเทียมที่ใช้ชิป AI เฉพาะทางเพื่อศึกษาการประมวลผลนอกโลกในช่วงปลายทศวรรษนี้ ขณะที่จีนเองก็ไม่ตกขบวน มีรายงานว่าได้เริ่มปล่อยดาวเทียมซูเปอร์คอมพิวเตอร์กว่า 12 ดวง ที่สามารถประมวลผลข้อมูลบนอวกาศได้โดยตรง
แน่นอนว่า Data Center บนอวกาศยังไม่ใช่คำตอบในวันนี้ และอาจไม่มาแทนที่ Data Center บนโลกในเร็ววัน เพราะยังเต็มไปด้วยอุปสรรค ตั้งแต่ต้นทุนการส่งและบำรุงรักษา ความทนทานต่อรังสี ระบบระบายความร้อน ไปจนถึงเครือข่ายดาวเทียมที่ต้องมีความเร็วและความหน่วงต่ำเพียงพอ แต่อย่างน้อยสำหรับบิ๊กเทค นี่คือ “ทางเลือกเชิงกลยุทธ์” เพราะในยุคที่บริษัทเทคโนโลยีเร่งสร้าง Data Center อย่างบ้าคลั่งเพื่อแย่งชิงความได้เปรียบ โลกอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอีกต่อไป และ”อวกาศ”อาจกลายเป็นพรมแดนใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคตอันใกล้นี้
อ่านเพิ่มเติม
ที่มาข้อมูล Business Insider , CNN , The verge
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -