ทำไมบิ๊กเทคจริงจังกับ Data Center บนอวกาศ? โลกเริ่มไม่ไหว ไฟฟ้า-ที่ดิน-สิ่งแวดล้อมกลายเป็นข้อจำกัด

Tech & Innovation

Tech Companies

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ทำไมบิ๊กเทคจริงจังกับ Data Center บนอวกาศ? โลกเริ่มไม่ไหว ไฟฟ้า-ที่ดิน-สิ่งแวดล้อมกลายเป็นข้อจำกัด

Date Time: 23 ธ.ค. 2568 10:46 น.

Video

จาก "รวยเงิน จนเวลา" สู่เกษียณ 35! ของพอล ภัทรพล? l Money Secret EP.13

Summary

Data Center ทั่วโลกขยายตัวอย่างรวดเร็ว สร้างความต้องการพลังงานมหาศาล

  • Data Center ในสหรัฐฯ คาดว่าจะใช้ไฟฟ้าถึง 12% ของประเทศภายในปี 2028
  • แนวคิด Data Center ในอวกาศใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลดข้อจำกัดด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
  • บริษัทต่างๆ เช่น Google, Starcloud, และ Blue Origin เริ่มลงทุนและทดสอบเทคโนโลยี
  • อุปสรรคยังคงมี ทั้งต้นทุน การบำรุงรักษา และเทคโนโลยี แต่เป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์

ขณะที่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI และ Cloud Computing กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของเศรษฐกิจโลก ความต้องการพลังงานเพื่อหล่อเลี้ยงระบบเหล่านี้ก็พุ่งสูงในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

การขยายตัวของ “ศูนย์ข้อมูล” หรือ Data Center ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของโลกดิจิทัลในยุคปัจจุบันสำคัญไม่แพ้ถนนหรือโรงไฟฟ้า กำลังสร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อผู้ให้บริการและบิ๊กเทคที่ต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานนี้ ทั้งในมิติของการใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล การใช้น้ำเพื่อระบบระบายความร้อน และแรงต้านจากประชาชนในพื้นที่ก่อสร้างที่กังวลเรื่องค่าไฟ สิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรเกินสมดุล คำถามสำคัญจึงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ว่า โลกใบนี้ยังรองรับการเติบโตของ Data Center ได้อีกแค่ไหน

วันนี้บิ๊กเทคระดับโลกและบริษัทด้านอวกาศจำนวนหนึ่งกำลังให้ความสนใจทางเลือกที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงแนวคิดไซไฟ ซึ่งวันนี้ถูกมองเป็นโอกาสใหม่ของธุรกิจ นั่นคือ การย้าย Data Center ขึ้นสู่อวกาศ โดยใช้พลังงานจากดวงอาทิตย์ แหล่งพลังงานขนาดมหึมาที่ไม่วันดับสิ้น 

พลังงานไม่พอ และ Data Center บนโลกกำลังล้นระบบ 

ข้อมูลจาก MSCI ระบุว่า ปัจจุบันมีโครงการ Data Center ใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างรวมกว่า 47 กิกะวัตต์ (GW) คิดเป็นมูลค่าการลงทุนมากกว่า 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะโครงการที่กำลังก่อสร้างในปี 2025 ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โลกกำลังเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ในขณะเดียวกัน การขยายตัวดังกล่าวก็กำลังสร้างแรงกดดันอย่างรุนแรงต่อระบบพลังงานและสิ่งแวดล้อมทั่วโลก

นักวิเคราะห์ประเมินว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าของ Data Center ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดภายในปลายทศวรรษนี้ โดยเฉพาะจากงานประมวลผล AI ที่ต้องเปิดระบบตลอด 24 ชั่วโมง ข้อมูลจาก Gartner ระบุว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าของ Data Center ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นราว 16% ในปี 2025 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าภายในปี 2030

ในเชิงปริมาณ การใช้ไฟฟ้าของ Data Center ทั่วโลกจะขยับจากประมาณ 448 เทราวัตต์-ชั่วโมง (TWh) ในปี 2025 ไปสู่ราว 980 TWh ในปี 2030 ตัวเลขที่ใกล้เคียงกับการใช้ไฟฟ้าของประเทศขนาดใหญ่หลายประเทศรวมกัน

สหรัฐฯ กลายตัวอย่างของแรงกดดันเชิงระบบ รายงานระบุว่า ในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว Data Center กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ความต้องการไฟฟ้าพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันสหรัฐฯ มี Data Center อย่างน้อย 5,400 แห่ง ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึง Hyperscaler ระดับหลายพันเซิร์ฟเวอร์ และจำนวนนี้ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลคาดการณ์ว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของสหรัฐฯ ในปี 2025 จะอยู่ที่ประมาณ 4,193 พันล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง และคาดว่า Data Center จะใช้ไฟฟ้าสูงถึง 12% ของทั้งประเทศภายในปี 2028 ซึ่งเริ่มสร้างแรงกดดันต่อเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้าในหลายรัฐ

แม้ผู้ให้บริการรายใหญ่จะพยายามเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดและลดการปล่อยคาร์บอน แต่ความเร็วของการลงทุนด้านพลังงานใหม่ยังตามไม่ทันความต้องการของ Data Center โดยเฉพาะงาน AI ที่ต้องการ “พลังงานต่อเนื่องและมีความหนาแน่นสูง” สถานการณ์นี้กำลังบีบให้บริษัทเทคโนโลยีต้องกลับมาคิดใหม่ว่าโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลควรถูกสร้างไว้ที่ใด

ทำไม “อวกาศ” จึงเริ่มเป็นคำตอบ

เหตุผลสำคัญที่ทำให้อวกาศเริ่มถูกมองอย่างจริงจัง คือ “พลังงานและการสเกล” แนวคิดของ Data Center บนอวกาศ คือ การสร้างศูนย์ข้อมูลในรูปแบบดาวเทียมที่โคจรรอบโลก ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งแทบไม่มีขีดจำกัด โดยเฉพาะการอยู่ในวงโคจรแบบ Sun-synchronous ที่สามารถรับแสงอาทิตย์ได้เกือบตลอดเวลา ไม่ต้องเผชิญข้อจำกัดกลางคืนหรือฤดูกาล

Data Center บนอวกาศไม่ต้องแข่งขันแย่งน้ำหรือที่ดิน ไม่กระทบโครงข่ายไฟฟ้าท้องถิ่น และไม่เผชิญแรงต้านจากชุมชนเหมือนบนโลก ผู้ให้บริการสามารถดึงพลังงานจากดวงอาทิตย์โดยตรง แทนการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลหรือโครงสร้างไฟฟ้าเดิม ทำให้ในเชิงทฤษฎี นี่คือพื้นที่ที่ Data Center สามารถขยายได้แทบไม่จำกัด และรองรับการเติบโตของ AI ในระยะยาวโดยไม่เพิ่มภาระให้กับโลกใบเดิม

ผู้นำด้านอวกาศหลายรายออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้อย่างเปิดเผย นำโดย Elon Musk ที่มองว่าอวกาศ คือแหล่งพลังงานมหาศาลจากดวงอาทิตย์ เหมาะกับงาน AI ขนาดใหญ่ในอนาคตและล่าสุดที่ได้แสดงออกถึงความสนใจในธุรกิจ Data Center บนอวกาศ ขณะประกาศแผน IPO ของ SpaceX 

แนวคิดนี้กำลังถูกทดสอบอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โปรเจกต์ Suncatcher ของ Google, สตาร์ทอัพ Starcloud ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia และ Blue Origin ของ Jeff Bezos ต่างเริ่มลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสำรวจความเป็นไปได้ของ Data Center ในอวกาศ

Starcloud ได้ส่งดาวเทียมที่บรรจุระบบคอมพิวติ้งรุ่นทดลองขึ้นสู่วงโคจรเพื่อทดสอบศักยภาพจริง ขณะที่ Alphabet เปิดเผยแผนทดสอบดาวเทียมที่ใช้ชิป AI เฉพาะทางเพื่อศึกษาการประมวลผลนอกโลกในช่วงปลายทศวรรษนี้ ขณะที่จีนเองก็ไม่ตกขบวน มีรายงานว่าได้เริ่มปล่อยดาวเทียมซูเปอร์คอมพิวเตอร์กว่า 12 ดวง ที่สามารถประมวลผลข้อมูลบนอวกาศได้โดยตรง

แน่นอนว่า Data Center บนอวกาศยังไม่ใช่คำตอบในวันนี้ และอาจไม่มาแทนที่ Data Center บนโลกในเร็ววัน เพราะยังเต็มไปด้วยอุปสรรค ตั้งแต่ต้นทุนการส่งและบำรุงรักษา ความทนทานต่อรังสี ระบบระบายความร้อน ไปจนถึงเครือข่ายดาวเทียมที่ต้องมีความเร็วและความหน่วงต่ำเพียงพอ แต่อย่างน้อยสำหรับบิ๊กเทค นี่คือ “ทางเลือกเชิงกลยุทธ์” เพราะในยุคที่บริษัทเทคโนโลยีเร่งสร้าง Data Center อย่างบ้าคลั่งเพื่อแย่งชิงความได้เปรียบ โลกอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอีกต่อไป และ”อวกาศ”อาจกลายเป็นพรมแดนใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคตอันใกล้นี้

อ่านเพิ่มเติม 


ที่มาข้อมูล Business Insider  , CNN  , The verge

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -   


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ