
ChatGPT เปิดตัวปี 2022, เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต, ผู้ใช้ 100 ล้านคนภายใน 2 เดือน
ปี 2022 กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “ยุค AI สมัยใหม่” หลังการเปิดตัว ChatGPT กลายเป็นบริการดิจิทัลที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โลกไม่เคยเหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมการทำงานถูกรีเซตใหม่โดยโมเดลของ OpenAI อย่างสิ้นเชิง
ช่วงเวลากว่า 3 ปี วันนี้ ChatGPT ไม่ได้เป็นเพียงแอปพลิเคชัน AI ที่คนใช้ถามตอบ แต่กลายเป็น โครงสร้างพื้นฐานด้าน AI แห่งศตวรรษและผลักดันให้ OpenAI องค์กรวิจัยเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อนมีมูลค่าทะลุ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในฐานะสตาร์ทอัพมูลค่าสูงที่สุดที่เคยมีมา
ในฐานะผู้นำยุคเฟื่องฟูของ AI องค์กรนี้เป็นผู้สร้างตระกูลโมเดลอย่าง GPT โมเดลสร้างภาพจากข้อความ DALL-E และโมเดลสร้างสรรค์วิดีโอ Sora ที่เปลี่ยนโลกเทคโนโลยีอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะ ChatGPT โมเดลประมวลภาษาขนาดใหญ่หรือ Large Language Model (LLM) ซึ่งเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2022 และถูกยกให้เป็นประกายไฟที่จุดกระแส Generative AI ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี
OpenAI ก่อตั้งขึ้นปี 2015 ในฐานะ “ห้องปฏิบัติการวิจัยที่ไม่แสวงหาผลกำไร” (Non-profit Research Laboratory) สัญชาติอเมริกัน ที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากกลุ่มบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะแห่งซิลิคอนแวลลีย์อย่าง Elon Musk, Reid Hoffman, Greg Brockman, Ilya Sutskever และกลุ่มนักลงทุนระดับแนวหน้า โดยมี Sam Altman อีกหนึ่ง Tech Bro รุ่นใหม่ไฟแรงในขณะนั้น
OpenAI จัดตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายใหญ่ คือ การพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงสุดที่ฉลาดเท่ากับหรือใกล้เคียงมนุษย์ หรือ Artificial General Intelligence (AGI) ที่ปลอดภัยและเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ โดยมีการตั้งพันธกิจไว้อย่างชัดเจนในการดำเนินการแบบ “องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร”
อย่างไรก็ตามเส้นทางการพัฒนาเรียกร้องเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาลที่สร้างแรงกดดันให้ OpenAI ต้องยอมผ่าตัดใหญ่พลิกโครงสร้างบริษัททั้งหมดในปี 2019 ที่ได้ประกาศเปลี่ยนผ่านจากโครงสร้างแบบ “ไม่แสวงหากำไร” ไปสู่การ “แสวงหากำไร” อย่างเต็มตัว พร้อมกับการรับเงินลงทุนครั้งใหญ่ครั้งแรกอย่างเป็นทางการจาก Microsoft ที่เข้ามาเป็นนักลงทุนและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ พร้อมจัดสรรทรัพยากร Azure ให้ OpenAI ใช้พัฒนาโมเดลขนาดมหึมา
ในปี 2019 OpenAI จัดตั้งบริษัทลูกที่แสวงหาผลกำไรได้อย่างจำกัดขึ้นมาในชื่อ “OpenAI LP” เพื่อเปิดรับเงินลงทุนจากภาคเอกชน การปรับโครงสร้างครั้งนี้ได้สร้างโมเดลลูกผสมที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน โดยยังคงองค์กรดั้งเดิมที่ไม่แสวงหาผลกำไร (OpenAI Inc.) ไว้ในฐานะบริษัทแม่ที่มีอำนาจควบคุมสูงสุด ซึ่งจะควบคุมผ่านการเป็นเจ้าของนิติบุคคลที่เป็นผู้จัดการ (OpenAI GP LLC) ที่จะเข้าไปกำกับดูแลบริษัทลูกที่แสวงหากำไรอีกทอดหนึ่ง ซึ่งบริษัทลูกนี้จะมีสถานะเป็น “บริษัทจำกัดเพดานผลกำไร” หรือ Capped-Profit Company ที่ผลตอบแทนสำหรับนักลงทุนและพนักงานที่ถือหุ้นจะถูกจำกัดไว้ที่เพดานสูงสุด โดยกำไรใดๆ ที่เกิดขึ้นเกินกว่าเพดานที่กำหนดจะถูกส่งมอบกลับคืนให้แก่บริษัทแม่ (OpenAI Inc.) เพื่อใช้สนับสนุนภารกิจที่ไม่แสวงหาผลกำไรต่อไป
ปลายปี 2022 การเปิดตัว ChatGPT กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก ผู้ใช้ 1 ล้านคนแรกภายใน 5 วัน (เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต) จำนวนผู้ใช้ประจำแตะ 100 ล้านภายใน 2 เดือน ติดชาร์ตแอปยอดดาวน์โหลดทั่วโลก กลายเป็นแอปฯ ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกในปีนั้น ChatGPT กลายเป็นเทคโนโลยีแมสทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มูลค่าบริษัทพุ่งพรวดอย่างไม่เคยมีมาก่อน ต้นปี 2023 มูลค่าบริษัททะลุ 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจากการเปิดขายหุ้นพนักงานครั้งแรก
และหลังจากนั้นเพียง 2 ปี มูลค่าบริษัทก็ได้รับการประเมินอยู่ที่ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังได้ทุนรอบใหญ่กว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากขบวนยักษ์กองทุนระดับโลกนำโดย Softbank ในเดือนมีนาคม 2025 และไม่กี่เดือนหลังจากนั้นที่มูลค่าบริษัทก็ทะยานขึ้นสู่ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐผ่านการเปิดซื้อขายหุ้นเดิมที่นักลงทุนแย่งกันถือครองครั้งใหญ่ ท่ามกลางกระแสการลงทุน AI ที่ฉุดไม่อยู่ทั่วโลก
ในช่วงเวลาดังกล่าว OpenAI ก็ได้พยายามปรับโครงสร้างองค์กรในส่วนที่แสวงหาผลกำไรอีกครั้ง เพื่อเปิดทางให้สามารถระดมทุนและถือหุ้นได้แบบบริษัททั่วไป โดยประกาศยุติแผนแปรสภาพเป็นบริษัทมุ่งทำกำไรเต็มรูปแบบและเดินหน้าคงอำนาจต่อในฐานะการเป็น “บริษัทแสวงหากำไรที่มีพันธกิจเพื่อสาธารณะ” หรือ Public Benefit Corporation (PBC) ที่เริ่มต้นดำเนินการในปี 2024 เสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการแล้ว โดยโครงสร้างนี้ OpenAI ยังคงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลขององค์กรไม่แสวงหากำไรเดิม ซึ่งปัจจุบันรีแบรนด์เป็น “OpenAI Foundation”
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการระดมทุนในระดับล้านล้าน และอาจนำไปสู่การเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 37 ล้านล้านบาท เพื่อเปิดช่องทางการหาเงินทุนมหาศาลมาขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ยังต้องการเงินเพิ่มอีกในระดับหลายล้านล้านหลังจากนี้ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะนับเป็นหนึ่งในดีล IPO ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
อ่านเพิ่มเติม
การก้าวขึ้นสู่ระดับมูลค่าครึ่งล้านล้านดอลลาร์สหรัฐนี้เกิดจากปัจจัยผสมผสานหลายด้าน ได้แก่ การเติบโตแบบไวรัลในกลุ่มผู้บริโภค การขยายสู่ตลาดองค์กร นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ออกเร็วและต่อเนื่อง และเงินทุนที่เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์เพื่อหนุนแผนสร้างโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี
โมเดลของ OpenAI ถูกใช้ในหลากหลายช่องทาง เครือข่ายการใช้งานและการเป็นพันธมิตรเอกสิทธิ์กับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สร้าง Network Effect ในระดับโลกทำให้ตำแหน่งของ OpenAI ในตอนนี้แข็งแกร่งยากจะล้ม นอกจากนี้ OpenAI ยังมีบทบาทในการพัฒนา AI Infrastructure ระดับชาติผ่านโครงการ Stargate เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลขั้นสูงและชิป AI ของตัวเอง และที่สำคัญ คือ เส้นทางสู่การพาณิชย์ (Commercialization) หรือแนวทางในการสร้างรายได้ที่ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะผ่าน ChatGPT Enterprise, ChatGPT สำหรับผู้ใช้ทั่วไป, บริการ API และการเป็นโครงสร้างพื้นฐานให้กับระบบ Copilot ของ Microsoft
ผลลัพธ์ คือ OpenAI กลายเป็นบริษัทที่นักลงทุนเชื่อมั่นมากที่สุดในยุค AI-first บิ๊กเทคและนักลงทุนเกือบทั้งวงการลงทุนในบริษัทนี้นำโดย Microsoft, SoftBank, Nvidia และ Thrive Capital สะท้อนสัญญาณของความเชื่อมั่นที่มากกว่าผลิตภัณฑ์
อย่างไรก็ตามแม้ OpenAI จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ยังเผชิญกับแรงกดดันจากผู้กำกับดูแลทั่วโลกในประเด็นด้านลิขสิทธิ์และความปลอดภัยของผู้ใช้ การตีเสมอกันของคู่แข่งรุ่นใหญ่ทั้ง Anthropic, Google DeepMind และ xAI ที่เร่งการพัฒนาของตนเอง โดยเฉพาะบทบาทการขับเคลื่อนของเม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่หล่อเลี้ยงอุตสาหกรรม AI ที่อาจส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่หลังจากนี้
อ่านเพิ่มเติม
ที่มาข้อมูล Visual Capitalist , Fortune , Financial Times
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -