
OpenAI เริ่มต้นเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในปี 2015 โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนา AGI ที่ปลอดภัย
คำว่า “AI” หรือ “Artificial Intelligence” มีการกล่าวถึงมานานแสนนาน หากย้อนเวลากลับไปจริง ๆ ผู้คนเริ่มรู้จัก AI มาตั้งแต่ช่วง 1950s เสียด้วยซ้ำ แต่ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องความร้อนแรง จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้คนหันไปใช้งานเทคโนโลยีกันทุกวัน จนแทบจะเรียกได้ว่าขาด AI ไปไม่ได้เลย ก็คงเริ่มมาจากการเปิดตัว ChatGPT เมื่อปลายปี 2022
ความน่าตื่นเต้นของแชทบอตที่ตอบได้ทุกอย่าง แม้ตอนนั้นจะถูกบ้างผิดบ้าง แต่ฟีเจอร์อย่างการสร้างสรรค์ภาพก็ทำให้หลายคนหลงใหลจนกลายเป็นไวรัลภายในระยะเวลาไม่นาน จนปัจจุบัน ChatGPT มีผู้เข้าใช้งานรายวันสูงกว่า 400 ล้านคนเลยทีเดียว
และผู้ที่อยู่เบื้องหลังแชทบอต AI นี้คือ "OpenAI" บริษัทเทคโนโลยีที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ที่ปลอดภัยเพื่อมวลมนุษยชาติโดยเฉพาะ โดยจะไม่แสวงหาผลกำไรจากการวิจัยด้านนี้สักบาท แต่แล้วในปี 2019 บริษัทก็ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทลูกขึ้นมา เพื่อที่จะหาผลกำไร (แต่ตามที่กำหนดไว้เท่านั้น) จนเริ่มสงสัยแล้วว่า สุดท้ายแล้วจะเป็น AI ที่สร้างขึ้นมาเพื่อมวลมนุษย์จริงไหม หรือเพื่อหาเงินกันแน่?
ในบทความนี้ Thairath Money ในคอลัมน์ How to Make Money จะพาไปเจาะลึกเบื้องหลังของ OpenAI ว่าความจริงแล้วทำไมบริษัทถึงต้องแยกย่อยออกมาเพื่อหากำไร? แล้วบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft เข้ามาเกี่ยวข้องตรงไหน? และโครงสร้างบริษัทของ OpenAI ทุกวันนี้เป็นแบบไหนกัน
OpenAI ไม่ได้เริ่มต้นแบบสตาร์ตอัพทั่วไปที่มุ่งหวังทำกำไรสูงสุด แต่ถือกำเนิดขึ้นในปี 2015 ในฐานะ “ห้องปฏิบัติการวิจัยที่ไม่แสวงหาผลกำไร” (Non-profit Research Laboratory) จากกลุ่มบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะแห่งซิลิคอนแวลลีย์ นำโดย
และยังมีหัวกะทิอีกหลายคนที่ร่วมกันก่อตั้ง โดยมีเป้าหมายแรกเริ่ม ไม่ใช่การสร้างผลิตภัณฑ์ออกมาเพื่อขายหารายได้ แต่คือการป้องกันความเสี่ยงจาก AGI (Artificial General Intelligence) ซึ่งคือ AI ที่มีความสามารถทางปัญญาทัดเทียมหรือเหนือกว่ามนุษย์ในทุก ๆ ด้าน ซึ่งทุกคนในกลุ่มเล็งเห็นปัญหาเดียวกันว่าหากเทคโนโลยีนี้ตกอยู่ในมือของบริษัทที่มุ่งแต่ผลกำไรเพียงอย่างเดียว มันอาจนำมาซึ่งหายนะได้ พันธกิจของ OpenAI จึงชัดเจน นั่นก็คือ “พัฒนาและกำกับดูแล AGI เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ”
ในช่วงเริ่มต้น OpenAI ตั้งพันธกิจไว้อย่างชัดเจน โดยการปั้นบริษัทให้เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร พร้อมประกาศกร้าวว่า การเป็นบริษัทไม่ทำกำไรจะเป็นเหมือน “ใบอนุญาต” ที่ทำให้ทีมงานสามารถเดินหน้าทำภารกิจเพื่อโลกได้เต็มที่โดยไม่ต้องก้มหัวให้ตัวเลขผลกำไร หรือถูกแรงกดดันจากนักลงทุนมาบีบให้ต้องรีบทำเงิน เป็นการเลือกวางประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ ไว้เหนือกำไรของบริษัทอย่างชัดเจน
และที่สำคัญกว่านั้น โมเดลนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็น “เกราะป้องกันความเสี่ยง” เพราะพวกเขากลัวว่าหาก AI ที่ฉลาดล้ำเหนือมนุษย์นี้ถูกสร้างขึ้นมาแล้วเกิดผิดพลาด หรือตกไปอยู่ในเงื้อมมือของบริษัทเอกชนที่มุ่งแต่จะกอบโกยผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว มันอาจนำมาซึ่งหายนะของมวลมนุษย์ได้
ดังนั้น เงินที่ไหลเข้ากระปุกเพื่อให้ทำการวิจัยล้วนแต่มาจากเงินบริจาค หรือเงินที่ระดมทุนได้กันเอง ซึ่งข้อมูลเปิดเผยว่าจนถึงปี 2019 ผ่านไปเกือบ 4 ปี เงินที่ระดมได้จริง ๆ ที่ OpenAI หาได้มีเพียง 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น แม้ก่อนหน้านั้นจะคอมมิตไว้ว่าสามารถระดมทุนไปได้มากถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐก็ตาม
ช่องว่างมหาศาลระหว่างเงินที่หวังไว้กับเงินที่มีจริง ๆ ในกระเป๋านี้ กลายเป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่ชี้ชัดว่า บริษัทที่กำลังดำเนินไปตามโมเดลโลกสวยที่หวังพึ่งเงินบริจาคเพียงอย่างเดียวเริ่มไปไม่รอด ทั้งการวิจัย AI ระดับพระกาฬที่จำเป็นจะต้องเผาเงินกองโต ตลอดจนค่าพลังประมวลผลจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ต้องจ่ายกันระดับหลายพันล้าน และค่าตัวอีกมหาศาลที่ต้องจ่ายเพื่อแย่งชิงหัวกะทิด้าน AI มาเสริมทัพ
นี่จึงเป็นแรงกดดันที่บีบให้ OpenAI ต้องยอมผ่าตัดใหญ่พลิกโครงสร้างบริษัททั้งหมดในเวลาต่อมา
โครงสร้างองค์กรของ OpenAI อาจเรียกได้ว่าเป็นอะไรที่ไม่เหมือนใครเลยจริง ๆ และถูกพูดถึงมากที่สุด เป็นสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อพยายามหลอมรวม 2 สิ่งที่ดูเหมือนจะเข้ากันไม่ได้ไว้ด้วยกัน นั่นคือระหว่าง “ภารกิจเพื่อประโยชน์ส่วนรวม” กับ “การหาเงินทุนมหาศาล” ในช่วงที่บริษัทกำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด โครงสร้างนี้ได้ผ่านการทดสอบอย่างหนักจนเกือบพังทลาย และก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ จนกลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในเรื่องธรรมาภิบาลขององค์กรภายใต้แรงกดดันที่หนักหน่วง
โดยจุดเปลี่ยนสำคัญของ OpenAI เกิดขึ้นในปี 2019 เมื่อทีมผู้บริหารตระหนักชัดเจนแล้วว่าโมเดลองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรแบบเดิมนั้นไปต่อไม่ไหว เพราะองค์กรจำเป็นต้องใช้เงินทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อทุ่มไปกับการเช่าใช้คลาวด์ขนาดใหญ่ และดึงดูดบุคลากรหัวกะทิเพื่อต่อกรกับคู่แข่งกระเป๋าหนัก ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงเกินกว่าที่เงินบริจาคจะรองรับได้
เพื่อแก้ปัญหานี้ OpenAI จึงตัดสินใจปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ด้วยการตั้งบริษัทลูกที่แสวงหาผลกำไรได้ขึ้นมาในชื่อ OpenAI LP เพื่อเปิดรับเงินลงทุนจากภาคเอกชน การปรับโครงสร้างครั้งนี้ได้สร้างโมเดลลูกผสม ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน โดยยังคงองค์กรดั้งเดิมที่ไม่แสวงหาผลกำไร (OpenAI, Inc.) ไว้ในฐานะบริษัทแม่ที่มีอำนาจควบคุมสูงสุด ซึ่งจะควบคุมผ่านการเป็นเจ้าของนิติบุคคลที่เป็นผู้จัดการ (OpenAI GP LLC) ที่จะเข้าไปกำกับดูแลบริษัทลูกที่แสวงหากำไรอีกทอดหนึ่ง โดยทั้ง 2 บริษัทแบ่งกันทำหน้าที่ดังนี้
การจัดวางโครงสร้างทางกฎหมายที่ซับซ้อนนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่า ภาระหน้าที่รับผิดชอบของคณะกรรมการฯ จะยังคงผูกอยู่กับภารกิจเพื่อมวลมนุษยชาติขององค์กรแม่ พร้อมระบุอย่างชัดเจนว่า “ผู้รับผลประโยชน์หลักคือมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่นักลงทุนของ OpenAI” แม้แต่ส่วนที่แสวงหาผลกำไรก็ยังมีข้อผูกพันทางกฎหมายที่จะต้องดำเนินงานเพื่อสนับสนุนภารกิจขององค์กรแม่ แม้จะได้รับอนุญาตให้สร้างและจัดสรรผลกำไรได้ก็ตาม
อย่างไรก็ตามในปี 2024 ที่ผ่านมา OpenAI ได้ประกาศแผนที่จะปฏิรูปโครงสร้างองค์กรในส่วนที่แสวงหาผลกำไรอีกครั้ง โดยในครั้งนี้คือการเปลี่ยนจากรูปแบบห้างหุ้นส่วนจำกัดที่ซับซ้อน (Limited Partnership) ไปสู่การเป็นบริษัทมหาชนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม (Public Benefit Corporation หรือ PBC)
การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกมองว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการระดมทุนในระดับแสนล้าน หรือแม้กระทั่งล้านล้าน ซึ่งทีมผู้บริหารเชื่อว่าจะต้องใช้ต้นทุนมหาศาลขนาดนั้นในการพัฒนา AGI ในขั้นต่อไป และอาจนำไปสู่การเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในอนาคต
ทั้งนี้ ทีมผู้บริหารของ OpenAI ยังยืนยันหนักแน่นว่า องค์กรแม่ที่ไม่แสวงหาผลกำไรจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจควบคุมในบริษัท PBC แห่งใหม่นี้ การเคลื่อนไหวรอบนี้ไม่ใช่การขายบริษัท หรือการละทิ้งภารกิจเดิม แต่เป็นการปรับโครงสร้างให้เรียบง่ายขึ้นเพื่อหาทุนมาสนับสนุนภารกิจเดิมให้สำเร็จลุล่วง โดยมีรายงานออกมาว่า การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากการหารืออย่างละเอียดกับอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนียและเดลาแวร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งและที่จดทะเบียนบริษัทของ OpenAI แล้ว
OpenAI ได้วางกลยุทธ์โมเดลรายได้ที่ซับซ้อนแต่ทรงประสิทธิภาพไว้หลายรูปแบบ โดยโมเดลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเจาะตลาดและสร้างรายได้จากผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ครอบคลุมตั้งแต่ผู้ใช้งานรายย่อยทั่วไป ไปจนถึงองค์กรใหญ่ระดับโลก
ปัจจุบัน OpenAI มีรายได้ต่อปีเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จาก 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนธันวาคม 2024 มาอยู่ที่ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ เดือนมิถุนายน 2025 โดยตัวเลขนี้ยังไม่นับรวมรายได้ค่าลิขสิทธิ์โดยตรงจากพันธมิตรรายใหญ่อย่าง Microsoft และจากการเข้าลงทุนของ SoftBank เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
โดยโมเดลธุรกิจของ OpenAI ในการทำเงินมีแหล่งรายได้หลักมาจากการให้บริการ Subscription สมัครสมาชิกแบบเสียเงินสำหรับแอปพลิเคชัน ChatGPT แบบรายเดือน โดยมีข้อมูลประมาณการว่าในปี 2024 รายได้ส่วนนี้อาจคิดเป็นประมาณ 73% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งจะแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ ได้แก่
นอกจากนี้ OpenAI ยังมีการให้บริการผ่าน API (API Access) เป็นอีกแหล่งรายได้หลัก ที่เปิดให้นักพัฒนาและองค์กรต่าง ๆ จ่ายเงินเพื่อเข้าถึงโมเดล AI ของ OpenAI ทั้ง GPT-4, GPT-4o และ DALL-E 3 เพื่อนำไปใช้ในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการของตัวเอง โดยรูปแบบการคิดค่าบริการเป็นแบบ Pay-as-you-Go หรือจ่ายตามปริมาณการใช้งาน ซึ่งวัดเป็นหน่วย “โทเคน” (Tokens) นั่นเอง
ทั้งนี้ OpenAI มีผลิตภัณฑ์และให้บริการด้วยคอร์เทคโนโลยีหลายหลัก ได้แก่
ความร่วมมือกับ Microsoft คืออีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญทั้งด้านการค้าและการดำเนินงานของ OpenAI นับตั้งแต่การลงทุน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐครั้งแรกในปี 2019 และหากนับรวมที่ผ่านมาทั้งหมด Microsoft ได้ทุ่มเม็ดเงินให้ OpenAI ไปแล้วรวมประมาณ 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว ทำให้ Microsoft กลายเป็นพาร์ทเนอร์สำคัญที่มีอิทธิพลต่อทิศทางของบริษัทอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยความสัมพันธ์นี้จะเป็นในลักษณะ “พึ่งพาอาศัย” กันอย่างลึกซึ้ง แต่ในขณะเดียวกันก็กำลังพัฒนาไปสู่สภาวะที่ซับซ้อนขึ้นที่เรียกว่า “Coopetition” หรือการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด แต่ก็แข่งขันกันโดยตรงในเวลาเดียวกัน
โดยข้อตกลงที่ทาง Microsoft ทำร่วมกับ OpenAI มีอยู่ 3 เสาหลัก ได้แก่
ก่อนจะจบบทความขอแถมเรื่องราวดราม่าของทั้ง 2 เจ้าพอแห่งวงการเทคไว้ด้วย ต้องขอพาย้อนกลับไปในช่วงตั้งไข่ของ OpenAI ภาพที่ทุกคนเห็นคือความยิ่งใหญ่ของสองพยัคฆ์ อย่าง Sam Altman และ Elon Musk ที่ทั้งสองได้ขึ้นนั่งเก้าอี้ประธานบอร์ดร่วมกัน เพื่อกุมทิศทางองค์กร จนทำให้ชื่อของ OpenAI ติดลมบนและดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
แต่แล้วก็เกิดจุดแตกหักขึ้นในปี 2018 เมื่อ Elon Musk ประกาศขอลงจากตำแหน่ง และลาออกจากคณะกรรมการบริหาร โดยมีการประกาศออกสื่ออย่างเป็นทางการให้เหตุผลว่า ต้องการจะหลีกเลี่ยงปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนในอนาคต เพราะ Elon Musk ก็มีบริษัท Tesla อยู่ในมือและก็กำลังทุ่มสุดตัวพัฒนา AI สำหรับรถยนต์ไร้คนขับเช่นกัน
แต่เรื่องจริงเบื้องหลังที่มีข่าวออกมาจากวงใน ภายหลัง Sam Altman ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตอนนั้น Elon Musk เริ่มร้อนใจอย่างหนักที่เห็น OpenAI นั้นเดินเกมช้า และเสี่ยงที่จะถูกคู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่าง Google ทิ้งห่างไปไกล Musk จึงยื่นข้อเสนอต่อบอร์ดบริหารว่า ขอเข้ามาควบคุมองค์กรทั้งหมดด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้เร่งเครื่องทำโปรเจกต์ได้เต็มกำลัง
และแน่นอนว่าบอร์ดบริหารได้ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว จนทำให้ Elon Musk ตัดสินใจโบกมือลา เดินออกจาก OpenAI ไปในที่สุด ปล่อยให้ Sam Altman คุมทัพ OpenAI แต่เพียงผู้เดียวมานับตั้งแต่นั้น
เหตุการณ์นี้เป็นมากกว่าแค่การเปลี่ยนแปลงตัวบุคลากร แต่ยังเป็นความขัดแย้งในมุมมองต่อแนวทางหลักขององค์กร ที่จะสร้าง AGI ที่ปลอดภัย ซึ่งทั้งสองผู้บริหารมองค่อนข้างจะแตกต่างกัน โดยข้อเสนอของ Elon Musk สะท้อนแนวคิดที่ต้องการรวมศูนย์อำนาจ มีความเด็ดขาด และขับเคลื่อนด้วยวิสัยทัศน์ของผู้นำเพียงคนเดียว ในขณะที่คณะกรรมการยังยึดมั่นในแนวทางที่เป็นอิสระ เน้นการทำงานร่วมกัน และใช้ความระมัดระวังมากกว่า
ความขัดแย้งทางความคิดในเรื่องกลยุทธ์ การควบคุม และความเร็วในการพัฒนาที่เหมาะสมนี้ ได้ส่งต่อมาสู่ความขัดแย้งภายในองค์กรที่มุ่งเน้นไปที่เรื่องความปลอดภัย และความระมัดระวังจนนำไปสู่วิกฤตการณ์ผู้นำครั้งสำคัญในเดือนพฤศจิกายน 2023 เมื่อ Sam Altman ถูกปลดออกจากตำแหน่งซีอีโอแบบฟ้าผ่า โดยบอร์ดบริหารให้เหตุผลสั้น ๆ ว่า “Sam Altman ไม่ได้สื่อสารกับคณะกรรมการอย่างตรงไปตรงมาเสมอไป ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความสามารถของบอร์ดในการปฏิบัติหน้าที่”
โดยบอร์ดบริหารมองว่า การขาดความโปร่งใสของซีอีโอ คือภัยคุกคามโดยตรงต่อความสามารถในการกำกับดูแล และท้ายที่สุดคือเป็นภัยต่อภารกิจหลักขององค์กร แต่แล้วการไล่ Sam Altman ออกครั้งนั้นกลับกลายเป็นชนวนที่ทำให้พนักงานกว่า 95% ของ OpenAI ร่วมลงนามในจดหมายขู่ว่าจะลาออกเพื่อตาม Sam Altman ไปทำงานกับ Microsoft ที่ได้ยื่นข้อเสนอจ้างงานทีมงานทั้งหมดในตอนนั้น
จนท้ายที่สุด 5 วันต่อมา Sam Altman ก็ได้กลับเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอของ OpenAI อีกครั้ง พร้อมกับรื้อบอร์ดบริหารครั้งใหญ่ พร้อมกับเผยผลการสืบสวนสอบสวนโดยสำนักงานกฎหมาย WilmerHale ได้สรุปว่า แม้การตัดสินใจของบอร์ดบริหารจะอยู่ภายใต้อำนาจที่สามารถทำได้ แต่พฤติกรรมของ Sam Altman ก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นที่ต้องบังคับปลดออกจากตำแหน่ง
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney