OpenAI ไม่เอาแล้วกำไร แช่แข็งแผนแปรสภาพบริษัท หลังเจอแรงต้านรอบด้าน

Tech & Innovation

Tech Companies

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

OpenAI ไม่เอาแล้วกำไร แช่แข็งแผนแปรสภาพบริษัท หลังเจอแรงต้านรอบด้าน

Date Time: 6 พ.ค. 2568 12:17 น.

Video

Jack Ma กลับมา จะพา Alibaba สร้างอำนาจใหม่ให้วงการเทคจีนได้ยังไง ? | Digital Frontiers EP.50

Summary

OpenAI ถอยทัพ แช่แข็งแผนแปรสภาพบริษัท หลังเจอแรงกดดันรอบด้าน นักวิชาการ อดีตพนักงาน อีลอน มัสก์ รุมตั้งคำถาม “ใครได้ประโยชน์ ? Microsoft นักลงทุนหลัก – ภาครัฐ ยังไม่ไฟเขียว โครงสร้างใหม่ยังไม่ลงตัว ”หวั่นสูญสมดุลความปลอดภัย AI เปิดทางผลประโยชน์นักลงทุนเกินขอบเขต"

Latest


OpenAI ประกาศยุติแผนแปรสภาพเป็นบริษัทมุ่งทำกำไรเต็มรูปแบบ เดินหน้าคงอำนาจต่อในฐานะ “บริษัทเพื่อประโยชน์สาธารณะ” (Public Benefit Corporation) และดำเนินการบริหารตามแผนเดิมภายใต้การควบคุมขององค์กรไม่แสวงหากำไร หลังเผชิญแรงกดดันหนักจากอดีตพนักงาน นักวิชาการ คู่แข่ง อีลอน มัสก์ เจ้าของ xAI อดีตผู้ก่อตั้ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาครัฐ เมื่อผู้นำภาคประชาสังคมและสำนักงานอัยการสูงสุดตั้งคำถามเรื่องผลประโยชน์ที่แท้จริง

“เราตัดสินใจให้หน่วยไม่แสวงหากำไรยังคงควบคุม OpenAI หลังจากรับฟังข้อคิดเห็นจากผู้นำภาคประชาสังคม และพูดคุยอย่างสร้างสรรค์กับสำนักงานอัยการสูงสุดของรัฐเดลาแวร์และรัฐแคลิฟอร์เนีย” Bret Taylor ประธานคณะกรรมการบริหารของ OpenAI กล่าวในแถลงการณ์

ทำความเข้าใจโครงสร้างบริษัท OpenAI ทั้งแสวงหากำไรและไม่แสวงหากำไร

OpenAI ก่อตั้งขึ้นเมื่อสิบปีก่อนในปี 2015 ในฐานะบริษัทวิจัยด้าน AI ที่ไม่แสวงหาผลกำไร (Non-Profit) ด้วยเป้าหมายยิ่งใหญ่ คือ การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ให้ไปสู่ระดับ Artificial General Intelligence (AGI) ที่ปลอดภัยเพื่อมนุษยชาติ

ต่อมาในปี 2019 แซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI ตระหนักดีว่าการดำเนินงานในฐานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอาจทำให้ OpenAI ไปไม่ถึงเป้าหมาย เพราะการไปสู่จุดนั้นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ทำให้เขาตั้งบริษัทใหม่ “OpenAI Global LP” ให้เป็นลูกผสมระหว่างบริษัทที่แสวงหาผลกำไรและไม่แสวงหาผลกำไร โดยเรียกว่า “บริษัทต่อยอดผลกำไร” (Capped-profit Company) เพื่อให้บริษัทสามารถเพิ่มเงินลงทุนใหม่ได้ทันใช้มากขึ้น และแน่นอนว่าบริษัทนี้จะยังถูกควบคุมโดย “OpenAI Inc.” หรือ OpenAI (Non-profit) อีกทอดหนึ่ง

กล่าวคือใน OpenAI (For-Profit) หรือ OpenAI ที่เราเรียกกันอยู่ทุกวันนี้ นักลงทุนและพนักงานจะได้รับผลตอบแทนแบบจำกัด โดยผลตอบแทนสำหรับนักลงทุนรอบแรกในส่วนของกำไรที่เกิดจากบริษัทนี้ จะถูกจำกัดไว้ที่ 100 เท่าของเงินลงทุนรอบแรกตามข้อตกลง ซึ่งส่วนที่เกินจากนั้นจะถูกมอบกลับคืนให้กับ OpenAI (Non-profit) หรือส่วนที่ไม่แสวงหากำไร เพื่อใช้ศึกษาวิจัยต่อไป ดังนั้นตามโครงสร้างจึงต้องรักษาความเป็นอิสระของบอร์ดให้ได้มากที่สุด

ต่อเนื่องในปี 2024 OpenAI ได้เปิดเผยว่าตนกำลังพิจารณาแผนเปลี่ยนสถานะใหม่ จากเดิมที่เป็นลูกผสมระหว่างบริษัทที่แสวงหาผลกำไรและไม่แสวงหาผลกำไรเป็นโครงสร้างใหม่ที่จะแปลงบริษัทให้เป็น “Public Benefit Corporation (PBC)” หรือ “บริษัทที่แสวงหาผลกำไรแบบมีวัตถุประสงค์” โดยที่องค์กรไม่แสวงหากำไรจะถือหุ้นในหน่วยธุรกิจนี้ แต่จะไม่ควบคุมอีกต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้อง

OpenAI ควรจะเอื้อประโยชน์เพื่อใครกันแน่? ทำไมถึงมีแต่คนไม่เห็นด้วย

อย่างไรก็ตามแผนปรับโครงสร้างของ OpenAI เผชิญการคัดค้านอย่างหนักในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นำโดย อีลอน มัสก์ ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ที่เคยยื่นข้อเสนอซื้อสินทรัพย์ขององค์กรไม่แสวงหากำไรที่ควบคุม OpenAI มูลค่า 97,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ไม่สำเร็จ

โดยเขายังยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อขอระงับไม่ให้ OpenAI กลายเป็นบริษัทแสวงหากำไร แม้ศาลจะปฏิเสธคำร้องนี้ แต่ก็อนุญาตให้บางส่วนของคดีเดินหน้าต่อไป ด้าน OpenAI ระบุว่า มัสก์ต้องการถ่วงเวลาบริษัทเพื่อประโยชน์ของบริษัท AI คู่แข่งของเขาเอง

อดีตพนักงานของ OpenAI กว่า 12 คน รวมถึงเจฟฟรีย์ ฮินตัน นักวิจัย AI เจ้าของรางวัลโนเบลและหนึ่งใน “บิดาแห่ง AI” ก็เคยคัดค้านแผนปรับโครงสร้างนี้ โดยบางคนเคยแสดงความกังวลว่า OpenAI อาจไม่สามารถรักษาสมดุลระหว่างความปลอดภัยกับการค้าเทคโนโลยีได้

“การที่ OpenAI ยืนยันให้ควบคุมโดยองค์กรไม่แสวงหากำไร ถือเป็นชัยชนะของการพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบ” โทดอร์ มาร์คอฟ อดีตพนักงาน OpenAI ซึ่งปัจจุบันทำงานกับคู่แข่ง Anthropic และเคยร่วมลงนามจดหมายคัดค้านแผนปรับโครงสร้างกล่าว “เราต้องการแนวป้องกันที่เข้มแข็ง ไม่ใช่แค่ความตั้งใจดีเท่านั้น รายละเอียดสำคัญมาก ซึ่งต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดเพื่อให้แน่ใจว่าการควบคุมนี้ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรูบนกระดาษ”

ทั้งนี้ Bloomberg รายงานเพิ่มเติมว่า แม้จะมีการประกาศแนวทางใหม่ OpenAI ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรายใหญ่ที่สุด นั่นคือ Microsoft ที่ลงทุนใน OpenAI ไปแล้ว 13,750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามรายงานของแหล่งข่าวหลายรายที่ใกล้ชิดกับเรื่องนี้ Microsoft ยังคงเป็นนักลงทุนรายหลักที่ยังไม่ยอมรับแผนปรับโครงสร้างของ OpenAI

โดยบริษัทต้องการให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงใด ๆ จะปกป้องผลประโยชน์จากการลงทุนของ Microsoft อย่างเหมาะสม เพราะข้อตกลงการให้สิทธิ์ใช้งานเทคโนโลยี และการแบ่งรายได้ร่วมกัน โดยปัจจุบัน Microsoft กำลังเจรจาเงื่อนไขรายละเอียดของข้อเสนอของ OpenAI อย่างต่อเนื่องและเตรียมที่จะสรุปรายละเอียดของการระดมทุนใหม่ในเร็ว ๆ นี้

นอกจากการเจรจากับ Microsoft แล้ว OpenAI ยังต้องขอความเห็นชอบจากสำนักงานอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐเดลาแวร์ ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลกระบวนการแปลงสภาพองค์กร โดย OpenAI ต้องประเมินมูลค่าของสัดส่วนการถือหุ้นขององค์กรไม่แสวงหากำไรในหน่วยธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรในอนาคต และขอคำแนะนำจากอัยการทั้งสองรัฐในประเด็นนี้
OpenAI เดินหน้าระดมทุนต่อ ภายใต้โครงสร้างใหม่

ด้านนักลงทุนมองในทิศทางเดียวกันว่า แนวทางใหม่นี้อาจจะช่วยให้ อัลท์แมน ยังบรรลุเป้าหมายเช่นเดิม แม้องค์กรไม่แสวงหากำไรจะยังมีอำนาจควบคุม ตามที่อัลท์แมนระบุว่า SoftBank Group จะยังคงเดินหน้าลงทุนเต็มวงเงิน 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ภายใต้โครงสร้างใหม่ นอกจากนี้ OpenAI ยังประกาศยกเลิกการจำกัดผลตอบแทนทางการเงินที่นักลงทุนจะได้รับ ซึ่งน่าจะช่วยดึงดูดนักลงทุนปัจจุบันและรายใหม่ได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตามรายละเอียดของการเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรจำเป็นต้องพิจารณาควบคู่กับอำนาจควบคุมการพัฒนา AI ขั้นสูงของ OpenAI ที่จะมีมากน้อยเพียงใด

ดาเรน เชเวอร์ หุ้นส่วนบริษัทกฎหมาย Hanson Bridgett LLP ในซานฟรานซิสโก กล่าวว่า การตัดสินใจของ OpenAI ดูเหมือนจะเป็นวิธีรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหากำไร พร้อมกับเปิดทางระดมทุนภายนอกและให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุน

แม้ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ChatGPT ของ OpenAI กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี นักพัฒนา AI ทั่วโลกเริ่มพบว่าประสิทธิภาพของโมเดล AI พัฒนาช้าลง และความสามารถในการทำกำไรยังคงเลือนลาง แม้ว่า OpenAI คาดว่าจะมีรายได้ 12,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ แต่บริษัทยังคงใช้เงินจำนวนมหาศาลในการฝึกและสนับสนุนโมเดล AI ขั้นสูงที่มีต้นทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

“สิ่งที่สังคมจะจับตามองคือ ‘บริษัทนี้กำลังให้ประโยชน์ต่อสาธารณะจริงหรือไม่’ ในทางกลับกันจะมีข้อกังวลว่า ‘หรือแนวทางของอัลท์แมนเอื้อประโยชน์แก่เอกชนมากเกินไปหรือเปล่า’ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญภายใต้กฎหมายภาษี” เขากล่าว

อ้างอิงข้อมูล Bloomberg 1Bloomberg 2 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -   


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ