เปิดเรื่องราว Prajogo Pangestu มหาเศรษฐีอินโดฯ สร้างอาณาจักรธุรกิจ จากคนขับรถตู้สู่รวยสุดในอาเซียน

Personal Finance

Wealth Management

Tag

เปิดเรื่องราว Prajogo Pangestu มหาเศรษฐีอินโดฯ สร้างอาณาจักรธุรกิจ จากคนขับรถตู้สู่รวยสุดในอาเซียน

Date Time: 4 ต.ค. 2568 19:30 น.

Video

กลาง ธ.ค.ลุ้น! ฝนถล่มภาคใต้รอบใหม่ น้ำลดรอบนี้ต้องรีบทำอะไร? | Thairath Money Night Stand EP.26

Summary

Prajogo Pangestu เริ่มต้นจากครอบครัวยากจน ก่อนเข้าสู่วงการธุรกิจไม้และสร้างบริษัท Barito Pacific

  • ธุรกิจหลักของ Pangestu เปลี่ยนจากไม้สู่ปิโตรเคมี และขยายสู่ธุรกิจพลังงานสะอาด
  • กลยุทธ์สำคัญคือให้ครอบครัวถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ทำให้เกิด "Prajogo Effect" ในตลาด
  • Barito Renewables ธุรกิจพลังงานสะอาดของ Pangestu ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก
  • Prajogo Pangestu ควบคู่ธุรกิจพลังงานสะอาดและถ่านหิน เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานที่หลากหลาย

Latest


ไปกันต่อกับคนที่รวยที่สุดจากประเทศอาเซียน ครั้งนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money ขอพาไปอินโดนีเซีย เพื่อทำความรู้จักกับ “Prajogo Pangestu” บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในอินโดนีเซียและยังครองตำแหน่งอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย

หลังจากไปแวะเวียดนามและมาเลเซียมาแล้ว บทความนี้จะพาไปเจาะลึกเจ้าพ่อธุรกิจยักษ์ใหญ่หลากหลายแบบ โดยธุรกิจหลัก ๆ ของ Prajogo Pangestu คือ Barito Pacific ที่เมื่อปี 2007 ได้ผันจากธุรกิจไม้มาเป็นธุรกิจปิโตรเคมี และขยับขยายมาสู่ธุรกิจพลังงานมากขึ้นผ่านการเข้าซื้อและควบรวมกิจการกับเจ้าใหญ่อื่น ๆ ในตลาด กระทั่งล่าสุด คือรุกตลาดพลังงานและพลังงานสะอาด ซึ่งธุรกิจกลุ่มนี้ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักให้เกิดความมั่งคั่งมหาศาล

หนึ่งในกลยุทธ์ความร่ำรวยที่สำคัญของ Prajogo Pangestu คือการให้ครอบครัวตัวเองเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในธุรกิจที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ จนเกิดเป็น “Prajogo Effect” ที่ทำให้นักลงทุนในอินโดนีเซียเลือกลงทุนเพราะตัวเจ้าของมากกว่าตัวชี้วัดทางการเงินของบริษัท โดยพบว่า ออฟฟิศครอบครัว Pangestu นั้นถือหุ้นมากถึง 88% ใน Barito Renewables ธุรกิจพลังงานสะอาดของเขาเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง:


เริ่มต้นไม่เท่าคนอื่น

ก่อนจะไปเล่าถึงการทำธุรกิจ ขอพาย้อนกลับไปตั้งแต่วันเด็กของ Prajogo Pangestu ที่เติบโตมาในครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย โดยเขาเกิดในปี 1944 ในกาลีมันตันตะวันตก ประเทศอินโดนีเซีย ครอบครัวเป็นชาวจีนกวางตุ้ง ที่อพยพมาจากจีน

คุณพ่อของ Prajogo Pangestu ทำอาชีพกรีดยางและเป็นพ่อค้ายาง และด้วยความยากลำบากในการหาเงิน ทำให้เขาเข้าเรียนได้เพียงแค่ชั้นมัธยมต้น และต้องออกมาทำงานหาเงินด้วยตัวเองเพื่อเลี้ยงชีพ ซึ่งรวมถึงงานขับรถตู้ที่เรียกว่า Angkot รถโดยสารสาธารณะในอินโดนีเซีย ที่ให้บริการคล้ายกับรถสองแถวบ้านเรา

จนในปี 1965 ตอนที่เขาอายุได้ 21 ปี ก็ได้ย้ายเข้าไปทำงานในจาการ์ตาเพื่อหาความมั่นคง และในฐานะคนขับรถ เขาได้พบกับ Burhan Uray เจ้าสัวธุรกิจไม้ชาวมาเลเซีย หลังจากรู้จักกันเจ้าสัวก็ต้องแพ้ให้กับความมุ่งมั่นของ Prajogo Pangestu พร้อมรับเข้าทำงานในบริษัทไม้ Djajanti Group

และนั่นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ในเรื่องธุรกิจอย่างจริงจัง กระทั่งผ่านไป 6 ปีเขาก็ได้รับโปรโมตเป็นระดับผู้จัดการทั่วไปของ PT Nusantara หนึ่งในขาธุรกิจของ Djajanti Group และในตำแหน่งนี้ เขาก็ถือโอกาสเรียนรู้ทั้งเบื้องหลังระบบธุรกิจ และหาคอนเนกชันในแบบที่ต่อมาจะเป็นฐานสำคัญของการก้าวไปสร้างธุรกิจของตัวเอง


จนขึ้นแท่น “ราชา”

ต่อมาในปี 1977 เพียงหนึ่งปีหลังจากรับตำแหน่งผู้จัดการ หลังจากที่ได้เรียนรู้และเข้าใจในการทำธุรกิจไม้อย่างลึกซึ้ง เขาก็ตัดสินใจลาออกจาก Djajanti Group มาเดินเส้นทางของตัวเองผ่านการเข้าซื้อกิจการค้าไม้ “CV Pacific Lumber Coy” ที่กำลังประสบปัญหาการเงินอย่างรุนแรงด้วยเงินที่กู้จากธนาคาร และด้วยประสบการณ์ที่มี เขาก็สามารถพลิกให้บริษัทฟื้นกลับมาได้

กิจการนี้กลายเป็นรากฐานของการก่อตั้งบริษัทของเขาเองในชื่อ “PT Barito Pacific Timber” ที่ได้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการในปี 1979 ซึ่งตรงกับช่วงยุคระเบียบใหม่ หรือ New Order ในอินโดนีเซีย ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Suharto รัฐบาลจึงมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่บางกลุ่มที่มีอิทธิพลกับเศรษฐกิจในประเทศอย่างสูง

ช่วงนั้นทำให้อิทธิพลของ Prajogo Pangestu สามารถแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ธุรกิจก็เติบโตได้ดี จนกลายเป็นหนึ่งใน “เจ้าพ่อไม้” ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของประเทศ และได้รับฉายาว่า “Raja Kayu” หรือ “ราชาไม้” อีกด้วย

จุดสูงสุดของธุรกิจก็มาถึงในปี 1993 เมื่อเขานำบริษัท PT Barito Pacific Timber Tbk เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จาการ์ตา (ปัจจุบันคือ ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย) การเข้าตลาดครั้งนั้นประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ทำให้บริษัทกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ในขณะนั้น และส่งให้ Prajogo Pangestu ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีระดับท็อปของอินโดนีเซียอย่างเต็มตัว

การทำธุรกิจตามสไตล์ของ Prajogo Pangestu คือการพัฒนาอย่างคลาสสิกแต่กลับทรงพลัง โดยคว้าเอาโอกาสในช่วงที่ประเทศกำลังพัฒนาระบบไปสู่เศรษฐกิจใหม่ โดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก อย่าง ธุรกิจไม้ ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเร่งอุตสาหกรรม เพื่อสร้างทุนเริ่มต้นและอิทธิพลในตลาด และต่อมาก็ขยายอำนาจต่อในธุรกิจด้านอื่นที่ตอบรับกับระบบเศรษฐกิจของโลกด้วย


ปรับทิศทางธุรกิจ

อาณาจักรที่เติบโตมาต่อเนื่อง กระทั่งช่วงกลางทศวรรษ 2000 อุตสาหกรรมไม้เริ่มสั่นคลอน แนวโน้มการเติบโตเริ่มชะลอตัวลง Prajogo Pangestu เลยอาศัยช่วงนี้ปรับธุรกิจครั้งใหญ่ โดยในปี 2007 ได้ทำการเปลี่ยนชื่อบริษัท โดยตัดคำว่า “Timber” ที่แปลว่าไม้ออก และเปลี่ยนมาใช้ชื่อ “PT Barito Pacific Tbk” พร้อมกับปรับแนวทางใหม่ไปเป็นกลุ่มบริษัทที่ทำธุรกิจหลากหลายแทน

ยุทธศาสตร์หลักของการปรับตัวครั้งนี้ คือ การเข้าซื้อหุ้น 70% ในบริษัทปิโตรเคมี “PT Chandra Asri” ซึ่งต่อมาได้ควบรวมกิจการเข้ากับ Tri Polyta Indonesia ในปี 2011 จนกลายเป็นบริษัท “PT Chandra Asri Petrochemical Tbk” (เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียเช่นกัน) และขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปิโตรเคมีรายใหญ่และครบวงจรที่สุดของอินโดนีเซีย จนทำให้คู่แข่งรายอื่นเจออุปสรรคใหญ่ในตลาดนี้

ตลอดเวลากว่าทศวรรษ Chandra Asri ทำหน้าที่เป็นหัวใจหลักด้านกระแสเงินสดของกลุ่ม Barito Pacific โดยครองส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศสูงสุดถึง 50% ในผลิตภัณฑ์สำคัญหลายประเภท และเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงอีกด้วย

กระทั่งเดินทางสู่บทใหม่ของธุรกิจที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของกลุ่ม Barito Pacific คือการก้าวเข้าสู่ธุรกิจพลังงานอย่างเต็มตัว จนเป็นจุดพลิกผันให้ชื่อของ Prajogo Pangestu ติดอันดับเป็นมหาเศรษฐีลำดับต้น ๆ ของอินโดนีเซียทันที

เส้นทางใหม่นี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2018 โดย Barito Pacific ได้เข้าซื้อหุ้น 66.67% ใน “Star Energy Group” ผู้ผลิตพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal) ชั้นนำของอินโดนีเซีย กระทั่งควบรวมกิจการได้สำเร็จในปี 2022 ทางบริษัท “Green Era” ซึ่งเป็น Family Office ของตระกูล Pangestu ที่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์ก็ได้เข้าซื้อหุ้นที่เหลืออีก 33.33% มาได้ด้วยมูลค่า 440 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ตระกูลนี้สามารถถือครองกิจการ Star Energy อย่างเต็มรูปแบบได้ 100%

หลังจากนั้นเมื่อเรื่องของพลังงานสะอาดเข้ามามีบทบาทมากขึ้น บวกกับกระแสโลกกำลังมุ่งไปสู่การลงทุนตามแนว ESG ทาง Prajogo Pangestu เลยได้เล็งเห็นโอกาสอีกครั้ง จัดตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งแห่งในชื่อ “PT Barito Renewables Energy Tbk” และได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียอย่างเป็นทางการในปี 2023

การ IPO ในครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสการลงทุนด้านพลังงานสีเขียว จึงได้รับความสนใจจากนักลงทุนล้นหลาม จนนำมาสู่การสร้างมูลค่าตลาดมหาศาลหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่งผลโดยตรงให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ขณะเดียวกันในปี 2023 เขายังได้เอาบริษัทเหมืองถ่านหิน “PT Petrindo Jaya Kreasi” เข้าตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน จนกระทั่งเกิดเป็นข้อถกเถียงตามมาสรุปแล้วบริษัทต้องการจะเดินไปทิศทางใดกันแน่ ใช่พลังงานสะอาดหรือไม่ และคำตอบก็คือ นี่เป็นกลยุทธ์สองขาที่ต้องการจะให้ธุรกิจครอบคลุมทั้งโครงสร้างพลังงานของประเทศอินโดนีเซีย

โดย Prajogo Pangestu มองว่า ฝั่งธุรกิจถ่านหินจะช่วยตอบสนองความต้องการพลังงานราคาย่อมเยาในประเทศ ซึ่งยังคงเป็นความจริงของระบบพลังงานในปัจจุบัน และยังทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจพลังงานความร้อนใต้พิภพ วางตำแหน่งให้กลุ่ม Barito Pacific เป็นผู้นำในอนาคตของพลังงานสะอาด พร้อมรับโอกาสเติบโตมหาศาลจากการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเป้าหมาย Net Zero ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกนั่นเอง


“Prajogo Effect”

หนึ่งในกลยุทธ์ของความร่ำรวยมหาศาลที่เกิดขึ้นนี้ (จริง ๆ จะเรียกว่ากลยุทธ์ได้หรือไม่ ไม่แน่ใจ) คือ กลุ่มบริษัทของ Prajogo Pangestu มีโครงสร้างการถือหุ้นที่มีความกระจุกตัวสูงมาก โดยตระกูล Pangestu เองถือหุ้นผ่านหลายบริษัท และแค่ในบริษัท Barito Renewables ตระกูลนี้ถือหุ้นรวมกันประมาณ 88% ทำให้เหลือหุ้นที่ซื้อขายได้ในตลาดจริง ๆ มีส่วนน้อยมาก หรือที่เรียกว่า Free Float ต่ำ

และด้วย Free Float ต่ำเช่นนี้ แม้การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในอุปสงค์หรืออุปทานของหุ้น ก็สามารถทำให้ราคาพุ่งขึ้นหรือตกลงอย่างรุนแรงได้ทันที ปรากฏการณ์นี้ถูกนักวิเคราะห์เรียกว่า “Prajogo Effect” กล่าวคือ แนวโน้มของนักลงทุนรายย่อยในอินโดนีเซียที่นิยมลงทุนตามชื่อเสียงของมหาเศรษฐีเจ้าของบริษัท โดยยึดศรัทธาในวิสัยทัศน์และผลงานของเจ้าสัว มากกว่าการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานตามตัวเลขทางการเงิน

จนนักวิเคราะห์บางรายถึงกับยอมรับว่า ไม่สามารถอธิบายมูลค่าหุ้นที่สูงลิ่วของบริษัทในเครือของ Prajogo Pangestu ได้จากปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว ซึ่งบ่งชี้ว่ากระแสความเชื่อและอารมณ์ของตลาดมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนราคา

โดยความผันผวนนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้ง โดยในระหว่างเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม ปี 2025 ที่ผ่านมา ทรัพย์สินของเขามีมูลค่าพุ่งขึ้นมากกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากผู้ให้บริการดัชนี Morgan Stanley Capital International (MSCI) ได้ยกเลิกข้อจำกัดเดิมและนำหุ้นของบริษัทในเครือของเขากลับเข้าสู่การประเมินดัชนีอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ความผันผวนนี้ก็ส่งผลในทางตรงกันข้ามได้เช่นกัน โดยเขาเคยสูญเสียความมั่งคั่งมากถึง 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐในวันเดียวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 และอีกครั้งที่มากกว่านั้นคือ 5,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกันยายนปีเดียวกัน

และปัจจุบันจากข้อมูลของ Forbes ณ วันที่ 4 ตุลาคม พบว่า Prajogo Pangestu มีความมั่งคั่งสุทธิอยู่ที่ 41,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครองตำแหน่งบุคคลที่รวยที่สุดในอินโดนีเซียและอาเซียน และอยู่ลำดับที่ 44 ของโลก



ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney



Author

Thanthida Thongphet

Thanthida Thongphet
Digital Economy & Future of Finance