
Pham Nhat Vuong เป็นมหาเศรษฐีชาวเวียดนาม ผู้ก่อตั้ง VinGroup ที่มีธุรกิจหลากหลาย
Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money บทความนี้จะขอพาไปเวียดนาม เจาะลึกทำความรู้จักกับ “Pham Nhat Vuong” มหาเศรษฐีวัย 57 ปีที่ครองตำแหน่งคนที่รวยที่สุดในประเทศติดต่อกันหลายปีตั้งแต่ 2015 ย้อนอดีตแนวคิดการทำธุรกิจที่หลากหลาย จนถึงกำเนิด VinGroup และปัจจุบันที่มีพระเอกชูโรงคือ VinFast รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังบุกตลาดโลก
ความน่าสนใจของชายคนนี้คือแนวคิดการทำธุรกิจที่ต้องการจะ “ตอบสนองความต้องการของครอบครัวชาวเวียดนามได้ตลอดทุกช่วงชีวิต” ผ่านการออกแบบธุรกิจที่คนในประเทศเข้าถึงได้ตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกช่วงการใช้ชีวิต
และล่าสุด เขายังได้บุกตลาดใหม่ นั่นคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ส่ง VinFast ออกสู่สายตาชาวโลก และดูเหมือนว่าธุรกิจนี้จะประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี เพราะธุรกิจทั้งหมดทั้งมวลนี้ นำมาซึ่งความมั่งคั่งสุทธิของเขาที่ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในเวียดนาม แถมยังติดอันดับที่ 175 ของโลกนี้ด้วย (ข้อมูล ณ วันที่ 20 กันยายน 2025)
Pham Nhat Vuong เกิดในปี 1968 ที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยมาก คุณพ่อเป็นทหารในกองกำลังป้องกันภัยทางอากาศ ส่วนคุณแม่เปิดร้านขายน้ำชาเล็ก ๆ อยู่ในเมือง ทำให้บางครั้งรายได้ที่เอามาเลี้ยงครอบครัวนั้นไม่เพียงพอ
เลยเป็นที่มาให้ Pham Nhat Vuong ต้องขยันและตั้งใจเรียน จนสามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่สหภาพโซเวียต (ปัจจุบันคือรัสเซีย) ในสถาบัน Moscow Geological Prospecting Institute จนเรียนจบในปี 1993 ซึ่งช่วงนั้นตรงกับช่วงหลังจากที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย ทำให้เกิดสภาวะเศรษฐกิจจะย่ำแย่ คนอดอยาก แต่ Pham Nhat Vuong กลับเห็นโอกาสและคว้าเอาไว้
โดยเขาย้ายถิ่นฐานในช่วงหลังโซเวียตล่ม ไปอาศัยที่เมืองคาร์คิฟ ประเทศยูเครน ลงหลักปักฐานแล้วก็เริ่มธุรกิจ โดยตอนแรกนั้นได้หยิบยืมเงินทุนจากเพื่อนและครอบครัวมาได้ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ จึงเอาเงินก้อนนั้นไปเปิดร้านอาหารเวียดนามในประเทศยูเครน
และด้วยช่วงนั้นคนกำลังอดอยาก บวกกับมีเงินกันน้อยนิด Pham Nhat Vuong เลยเกิดไอเดีย ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปราคาย่อมเยาว์ออกมาขาย จนประสบความสำเร็จถึงขั้นได้เปิดบริษัทเป็นของตัวเองในชื่อ “Technocom” ทำธุรกิจแปรรูปอาหารและมีผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์ “Mivina”
ความสำเร็จของ Mivina นำมาสู่รายได้ของบริษัทกว่าปีละ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2004 โดยมีรายงานออกมาด้วยว่า คนยูเครนมากถึง 97% ต้องรู้จักและเคยรับประทานบะหมี่แบรนด์นี้ จนความยิ่งใหญ่นี้ไปดึงดูดแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารยักษ์ใหญ่ของยุโรปอย่าง Nestlé เข้า ในปี 2010 ทาง Pham Nhat Vuong เลยตัดสินใจขายกิจการให้กับ Nestlé ด้วยมูลค่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในยูเครน Pham Nhat Vuong ก็เริ่มเบนเข็มกลับมาสนใจตลาดบ้านเกิดอย่างเวียดนาม โดยเขาค้นพบว่าเวียดนามกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเช่นเดียวกับยูเครน เป็นช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังเปลี่ยนจากระบบที่ควบคุมโดยรัฐไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่ควบคุมโดยตลาดมากขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1990
ในช่วงคาบเกี่ยวก่อนที่จะขายกิจการ Technocom เขาได้เอาเงินที่ทำกำไรได้จากธุรกิจที่มีในมือกลับมาลงทุนในบ้านเกิด โดยเริ่มต้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มีโครงการแรกในปี 2001 คือ “VinPearl” เป็นรีสอร์ตหรูติดชายฝั่งเวียดนาม มีห้องพักเกือบ 300 ห้อง มีเคเบิลคาร์เชื่อมระหว่างเกาะกับแผ่นดินใหญ่คอยรับส่งผู้เข้าพัก จนกลายเป็นจุดหมายปลายทางหรูที่ใคร ๆ ก็อยากเข้าพัก และธุรกิจก็เติบโตมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน
เมื่อสร้างรีสอร์ตประสบความสำเร็จแล้ว Pham Nhat Vuong ก็ได้ขยับขยายการลงทุนไปสู่อสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็น พัฒนาอาคารสำนักงาน สร้างโครงการเมืองหรู (Townships) ไปจนถึงศูนย์การค้าในกรุงฮานอย ภายใต้ธุรกิจที่ชื่อว่า “VinCom” (ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์) ที่ก่อตั้งในปี 2002
ทุกอย่างไปได้สวยจนกระทั่งปี 2008 ในช่วงวิกฤตการเงินโลก ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของเวียดนามดิ่งลงถึง 30% แต่ Pham Nhat Vuong กลับเห็นโอกาสและใช้กลยุทธ์แบบสวนกระแส
นั่นคือ ในขณะที่คู่แข่งในประเทศกำลังประสบปัญหาสาหัสจากอัตราดอกเบี้ยที่สูง เขาได้ระดมทุน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐผ่านหุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Bonds) ในสิงคโปร์ และเดินหน้ากว้านซื้อที่ดินราคาถูกเก็บไว้ในมืออย่างจริงจัง จนถึงช่วงตลาดฟื้นตัวในปี 2010 เรียกได้ว่าเป็นชัยชนะอีกก้าว ที่เขาอยู่ในจุดที่ได้เปรียบทุกอย่าง และยังสามารถเปิดตัวโครงการต่าง ๆ ได้อีกต่อเนื่อง
ในเดือนมกราคม ปี 2012 จุดเปลี่ยนของธุรกิจก็เริ่มขึ้น เมื่อ Pham Nhat Vuong ได้ควบรวมกิจการในมือของตัวเองทุกอย่างมาตั้งเป็น “VinGroup” และนี่ไม่ใช่แค่การปรับโครงสร้างองค์กร แต่คือการปักธงสร้างระบบนิเวศของธุรกิจ ตามเป้าหมายเพื่อ “สร้างอาณาจักรผลิตภัณฑ์และบริการที่ครบวงจร สามารถตอบสนองความต้องการของครอบครัวชาวเวียดนามได้ตลอดทุกช่วงชีวิต”
กล่าวคือ ครอบครัวชาวเวียดนามหรือคนในประเทศสามารถอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ของ VinHomes จับจ่ายซื้อของที่ห้าง VinCom ส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียน VinSchool รับบริการทางการแพทย์ที่โรงพยาบาล VinMec ตลอดจนไปพักผ่อนที่รีสอร์ต VinPearl
กลยุทธ์นี้นำไปสู่การขยายธุรกิจไปในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างรวดเร็วและจริงจัง โดย VinGroup ได้ขยายธุรกิจออกไป ดังนี้
ระบบนิเวศนี้ทำหน้าที่เป็นกลไกในการหาลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเก่าเอาไว้ โดยมีกลยุทธ์คือ เมื่อมีลูกค้ามาใช้บริการในกลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าสูงหนึ่งอย่าง เช่น อสังหาริมทรัพย์ของ VinHomes ทาง VinGroup ก็จะเสนอขายบริการอื่น ๆ ในกลุ่มที่หลากหลายพ่วงไปด้วย (Cross-Sell) และการขายแบบนี้ก็คือการมีต้นทุนที่ถูกลงอย่างทวีคูณ
โดยโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะเป็นตัวเอกทำหน้าที่เป็นเหมือนระบบปฏิบัติการ (Operating System) ที่แบรนด์อื่น ๆ ในเครือทั้งหมดจะถูกนำมาพ่วงติดตั้งและให้บริการ จนทำให้ลูกค้าเกิดความภักดีต่อแบรนด์ได้เป็นอย่างดี
โมเดลธุรกิจนี้คล้ายคลึงกับระบบเคเร็ตสึ (Keiretsu) ของญี่ปุ่น หรือแชโบล (Chaebol) ของเกาหลีใต้ในยุคใหม่ แถมยังได้เข้ามาปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์เมืองและตลาดผู้บริโภคของเวียดนามไปอย่างสิ้นเชิง จนกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ให้กับคู่แข่งที่ต้องการจะเข้าสู่ตลาด เพราะจะสู้ได้ยากหากดำเนินธุรกิจเพียงอย่างเดียว
และเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้านสังคมของกลุ่มบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในปี 2016 ก็ได้มีการปรับโครงสร้างให้ VinMec และ VinSchool ไปเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร
แม้ว่า VinGroup จะมีธุรกิจที่ครอบคลุมแทบจะทั้งระบบของประเทศ แต่ธุรกิจอย่าง VinCom ร้านสะดวกซื้อกลับสู้คู่แข่งในประเทศไม่ได้ และฝั่ง VinSmart ก็ไปแพ้ให้กับเจ้าใหญ่ของโลกอย่าง Samsung และ Apple
เลยเป็นที่มาให้ในปี 2019 ขายหุ้นส่วนใหญ่ใน VinCom ให้กับคู่แข่งร้านค้าปลีกใหญ่ของเวียดนาม อย่าง Masan Group และต่อมาในปี 2021 ก็ตัดสินใจปิดกิจการ VinSmart หันมารวบรวมทรัพยากรของ VinGroup ไปทุ่มให้กับโครงการ “VinFast” ธุรกิจยานยนต์ที่ต้องใช้เงินทุนสูงกว่าและมีความสำคัญทางกลยุทธ์มากกว่า
Pham Nhat Vuong เคยกล่าวไว้ว่า “หากโครงการใดไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของเราอีกต่อไป เราต้องกล้าที่จะปล่อยมันไป” เพราะการจะเอาชนะในธุรกิจค้าปลีกและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์นั้นจำเป็นต้องมีการลงทุนมหาศาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
จุดเริ่มต้นของ VinFast ธุรกิจยานยนต์เกิดในปี 2017 จากความทะเยอทะยานและความแน่วแน่ของ Pham Nhat Vuong ที่ต้องการจะปั้นโครงการนี้ให้เป็นความภาคภูมิใจของชาติ เป็นภารกิจที่จะไป “ชูธงชาติเวียดนามบนแผนที่เทคโนโลยีโลก” ผ่านการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า (EV)
เขาเร่งเครื่องให้ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยเร็ว สร้างโรงงานผลิตรถยนต์ VinFast ที่ทันสมัยในเมืองไฮฟองด้วยระยะเวลาเพียง 21 เดือนจนกลายเป็นสถิติใหม่ และยังได้ประกาศชัดเจนในปี 2021 ว่า VinGroup จะยุติการผลิตยานยนต์เครื่องสันดาปลงทั้งหมด เพื่อหันไปมุ่งเน้นที่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ทำให้ VinFast กลายเป็นหนึ่งในบริษัทรถยนต์แห่งแรก ๆ ของโลกที่ประกาศเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว
VinFast ได้เริ่มขยายธุรกิจไปต่างประเทศอย่างจริงจัง ซึ่งรวมไปถึงการสร้างโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าในรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา การเปิดจำหน่ายในยุโรป และการบุกตลาดใหญ่อย่างมีกลยุทธ์ เช่น อินเดียและอินโดนีเซีย จนสามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด Nasdaq ได้ในปี 2023 ผ่านบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการควบรวมกิจการโดยเฉพาะ (SPAC)
ปัจจุบัน VinFast มีมูลค่าตามตลาดอยู่ที่ 7,550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมี Pham Nhat Vuong และครอบครัวควบคุม VinGroup อยู่ที่ประมาณ 65% และตัวเขาเองได้ควบคุม VinFast ถึง 99% ผ่านบริษัทต่าง ๆ ซึ่งการควบคุมแบบรวมศูนย์นี้ทำให้เขาสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดสรรเงินทุนได้อย่างรวดเร็ว
ที่มา: VinGroup, Business Insider, Forbes, Tatler, Prestige, VietnamPlus, VNexpress
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney