"ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง" หนี้ล่องหนที่ระบบมองไม่เห็น โลกการเงินเร่งนำ BNPL เข้าระบบเครดิต

Personal Finance

Financial Planning

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

"ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง" หนี้ล่องหนที่ระบบมองไม่เห็น โลกการเงินเร่งนำ BNPL เข้าระบบเครดิต

Date Time: 24 มิ.ย. 2568 13:37 น.

Video

อย่ากลัว! วิกฤติใหญ่ยังไม่เกิด หาโอกาสลงทุน กับ กวี ชูกิจเกษม | Thairath Money Night Stand EP.21

Summary

BNPL หรือ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” กำลังกลายเป็นฟองสบู่หนี้ใหม่ที่ระบบการเงินทั่วโลกเริ่มจับตา เพราะข้อมูลส่วนใหญ่อยู่ “นอกระบบ” เครดิตบูโร ทำให้ธนาคารมองไม่เห็นความเสี่ยงที่แท้จริง FICO ในสหรัฐฯ เตรียมใส่ข้อมูล BNPL ในคะแนนเครดิต ขณะที่ไทยเริ่มหารือการบันทึกข้อมูลกับฟินเทคและแพลตฟอร์ม BNPL,แม้จะช่วยให้เข้าถึงเครดิตได้ง่ายขึ้น แต่พบว่าผู้ใช้จำนวนมากมีสถานะการเงินเปราะบาง และเสี่ยงใช้จ่ายเกินตัว

ทำไมโลกการเงินเริ่มจริงจังกับ BNPL ในระบบเครดิต

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “Buy Now, Pay Later” (BNPL) หรือ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” ได้กลายเป็นรูปแบบสินเชื่อที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก จากเดิมที่ถูกมองว่าเป็นแค่โปรโมชั่นการผ่อนจ่ายของร้านค้า กลับกลายเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ผู้บริโภคจำนวนมากใช้เป็น "บันไดทางรอด" เพื่อประคองสภาพคล่องในชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุผลนี้เองที่กำลังเปลี่ยน BNPL ให้กลายเป็น “ปัจจัยเสี่ยงใหม่” ที่ผู้ให้สินเชื่อทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยที่สถาบันการเงินรวมถึงเครดิตบูโรเริ่มจับตาเช่นเดียวกัน

เดิมที BNPL ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงง่ายกว่าสินเชื่อแบบเดิม โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีประวัติเครดิตมาก่อน แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของบริการ BNPL กลับกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไร้การกำกับ ไม่มีการรายงานข้อมูลต่อเครดิตบูโรหรือหน่วยงานรัฐ และเปิดช่องให้เกิดหนี้ที่มองไม่เห็นหรือ “หนี้ล่องหน” หรือ Phantom Debt

BNPL เข้ามาตอบโจทย์ผู้บริโภคสำหรับกระจายภาระการจ่ายเงิน เช่น การแบ่งจ่ายของชิ้นใหญ่ หรือซื้อของใช้จำเป็นในช่วงสิ้นเดือน แต่ความสะดวกนี้เองก็เป็นกับดักที่ทำให้หลายคนใช้จ่ายเกินตัวโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเมื่อมีบัญชี BNPL หลายรายการพร้อมกัน เช่น ผ่อนโทรศัพท์ ซื้อของออนไลน์ หรือจ่ายค่าบริการรายเดือนผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ระบบเครดิตของประเทศก็ยังนับว่าเขา “ไม่มีหนี้”

ดังนั้น สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่เพียงปริมาณการใช้จ่ายที่สูงขึ้นเท่านั้น แต่คือ การที่ข้อมูลหนี้ BNPL ส่วนใหญ่ไม่ถูกบันทึกในระบบเครดิตใด ๆ ทำให้ผู้ปล่อยกู้และสถาบันการเงินมองไม่เห็นพฤติกรรมหนี้ที่แท้จริงของลูกค้า และมากไปกว่านั้นในหลายประเทศ BNPL ไม่ถูกจัดอยู่ภายใต้กฎหมายควบคุมสินเชื่อ และไม่จำเป็นต้องรายงานต่อเครดิตบูโร นั่นทำให้เกิดช่องโหว่ใหญ่ในระบบความเสี่ยง ผู้กู้บางรายอาจมีหนี้ BNPL ซ้อนกันหลายสิบรายการ โดยที่ไม่มีใครรู้

ภายใต้บริบทเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง ทั้งดอกเบี้ยขาขึ้น หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว การมองไม่เห็นเงาหนี้ที่แท้จริงนี้ กำลังสร้างความกังวลให้กับผู้ปล่อยกู้และผู้กำกับดูแลทั่วโลก ข้อมูลล่าสุดในปี 2021 พบว่าเพียง 5 บริษัท BNPL รายใหญ่ในสหรัฐฯ ก็ได้ปล่อยสินเชื่อรวมมูลค่ากว่า 24.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านั้นมาก

ด้านนักวิจัยจากธนาคารกลางนิวยอร์ก(New York Fed) ได้ออกโรงเตือน พร้อมเผยตัวเลขจากการสำรวจในปี 2023 ซึ่งพบว่า 32.7% ของผู้ใช้ BNPL มีคะแนนเครดิตต่ำกว่า 620 และเคยถูกปฏิเสธสินเชื่อหรือมีประวัติค้างชำระ กลุ่มนี้มีสัดส่วนเพียง 16.6% ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด แต่กลับเป็นผู้ใช้ BNPL ในสัดส่วนที่สูงเกินคาด กล่าวคือ กลุ่มผู้ใช้ BNPL ส่วนใหญ่นั้นมีสถานะการเงินเปราะบางอยู่แล้ว BNPL อาจเป็นแรงเสริมให้คนเปราะบางยิ่งเปราะบางกว่าเดิม และทำให้เกิดข้อกังวลว่า ระบบ BNPL จะมีความยืดหยุ่นเพียงพอหรือไม่ หากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะช็อกหรือถดถอย

อ่านเพิ่มเติม

เล็งบันทึก BNPL ในระบบ Credit Scoring จริงจัง

ล่าสุด FICO บริษัทจัดอันดับเครดิตระดับโลก ผู้พัฒนาโมเดลให้คะแนนเครดิตที่ได้รับความนิยมสูงสุดในสหรัฐฯ เดินหน้านำข้อมูล BNPL เข้าสู่โมเดลคะแนนเครดิตอย่างเป็นระบบ เตรียมเปิดตัวโมเดล “FICO Score 10 BNPL” และ “FICO Score 10 T BNPL” ภายในปีนี้ โดยจะเป็นครั้งแรกที่ข้อมูล BNPL ถูกนำมาใช้คำนวณคะแนนเครดิตอย่างเป็นระบบในสหรัฐอเมริกา

เดิมทีในเชิงเทคนิค BNPL ไม่ได้เหมือนบัตรเครดิตหรือสินเชื่อทั่วไป เพราะผู้ใช้มักเปิดบัญชีใหม่และปิดบัญชีภายในไม่กี่วันหรือนับสัปดาห์ และการใช้วงเงินเต็มจำนวนในทันที ซึ่งถ้าเป็นระบบเดิมจะส่งผลเสียต่อคะแนนเครดิต

FICO จึงไม่สามารถนำข้อมูล BNPL มาใส่ในโมเดลเก่าแบบตรง ๆ ได้ แต่ได้ร่วมมือกับ Affirm ผู้ให้บริการ BNPL รายใหญ่ เพื่อออกแบบวิธีประมวลผลใหม่ โดย “รวมข้อมูลสินเชื่อ BNPL หลายรายการ” เข้าด้วยกันในแบบที่ไม่ส่งผลเสียเกินจริงต่อผู้บริโภค

โดย FICO ระบุว่า โมเดลใหม่นี้จะช่วยให้ผู้ปล่อยกู้เห็นภาพรวมการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่มีประวัติเครดิต และคนรุ่นใหม่จำนวนมากยังไม่มีประวัติเครดิตที่ยาวนาน ถ้าใช้ BNPL อย่างรับผิดชอบ นี่อาจเป็นโอกาสในการสร้างเครดิตให้กับพวกเขา

ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ อาทิ อังกฤษ และออสเตรเลีย กำลังเดินหน้านำข้อมูล BNPL เข้าสู่ระบบเครดิตอย่างเป็นทางการ ประเทศไทยเองก็กำลังอยู่ใน “จุดหัวเลี้ยวหัวต่อ” ว่าจะเดินตามอย่างไรให้สมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงิน และการควบคุมความเสี่ยงในระบบสินเชื่อโดยรวม

ปัจจุบันตลาด BNPL ไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว มีแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เข้ามาทุกปี ทั้งจากฟินเทค บริษัทอีคอมเมิร์ซ ทำให้สถาบันการเงินและเครดิตบูโร (NCB) ให้ความสนใจแนวทางเดียวกัน เพื่อสะท้อนพฤติกรรมหนี้ของผู้บริโภคได้ครบถ้วนมากขึ้น

ทั้งแนวทางการบันทึกข้อมูล BNPL กับผู้ให้บริการบางราย โดยเน้นการจัดระบบข้อมูลที่เหมาะสม ไม่กระทบผู้บริโภคที่ชำระตรงเวลา ขณะเดียวกัน ธนาคารไทยขนาดใหญ่บางแห่งก็เริ่มทดลองพัฒนา Credit Scoring ทางเลือก ที่สามารถประเมินพฤติกรรม BNPL และการผ่อนจ่ายผ่านช่องทางดิจิทัล แม้จะอยู่นอกระบบบูโรก็ตาม

ทางเลือกที่ทั้งเปิดโอกาส และเปิดความเสี่ยง

BNPL อาจเป็นทั้งทางรอดและทางเสี่ยง ถ้าใช้ดี ก็อาจเป็นเครื่องมือสร้างเครดิตของคนรุ่นใหม่ แต่ถ้าใช้เกินตัวก็อาจเป็นฟองสบู่หนี้ที่สังคมมองไม่เห็นจนกว่าจะสายเกินไป ในฐานะผู้บริโภคเราควรศึกษาเงื่อนไขการให้บริการของแต่ละบริษัท BNPL ให้ดีก่อนใช้บริการ และควรชำระเงินให้ตรงตามกำหนด เพื่อรักษาสถานะทางการเงินที่ดี เพราะแม้ BNPL จะไม่ได้ถูกบันทึกในเครดิตบูโรโดยตรง แต่การไม่ชำระเงินตามกำหนดอาจส่งผลเสียต่อประวัติการชำระเงินได้ในท้ายที่สุด

อ้างอิงข้อมูล CNN 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -   


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ